แชร์

สร้างบ้าน เลือกแบบไหนดี ? ระหว่าง บริษัทรับก่อสร้าง กับ ผู้รับเหมาอิสระ

อัพเดทล่าสุด: 8 ก.ค. 2025
18 ผู้เข้าชม

S.J.Building สรุปให้

  • การสร้างบ้าน มีทางเลือกหลัก 2 ทาง ได้แก่ บริษัทรับเหมาก่อสร้างหรือผู้รับเหมาอิสระ แต่ละทางมีข้อได้เปรียบต่างกัน

  • บริษัทรับสร้างบ้าน เหมาะกับผู้มีงบสูง ต้องการความมั่นใจเรื่องคุณภาพและการรับประกัน แต่มีราคาสูงกว่า

  • ผู้รับเหมาอิสระ เหมาะกับผู้มีงบจำกัด มีความรู้พื้นฐานเรื่องการก่อสร้าง และมีเวลาควบคุมงาน แต่มีความเสี่ยงสูง

  • ก่อนสร้างบ้าน ควรวางแผนการเงิน เตรียมเอกสารจำเป็น และตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้าง

  • สัญญาจ้างเหมาต้องระบุรายละเอียดให้ชัด ทั้งขอบเขตงาน การเงิน ระยะเวลา และการรับประกัน

  • การตรวจรับบ้านต้องตรวจสอบทั้งโครงสร้าง งานระบบ และงานตกแต่ง เพื่อให้แน่ใจว่าได้บ้านคุณภาพตามที่ตกลง


สร้างบ้าน ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาจำนวนมาก การตัดสินใจเลือกระหว่าง บริษัทรับเหมาก่อสร้างกับผู้รับเหมาอิสระทั้งสองทางเลือกมีข้อได้เปรียบกับข้อเสียต่างกัน ที่ต้องพิจารณาให้เข้ากับความต้องการ งบ และความพร้อมของเจ้าของบ้าน

บทความนี้ S.J.Building ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบทั้งสองรูปแบบ พร้อมมอบคำแนะนำในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การเตรียมตัว การทำสัญญา จนถึงการตรวจรับงาน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกวิธีการสร้างบ้านที่เหมาะกับคุณที่สุดค่ะ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเริ่ม สร้างบ้าน

ก่อนที่จะเริ่ม สร้างบ้าน มีขั้นตอนพื้นฐานที่ควรทำเพื่อให้การก่อสร้างราบรื่น ได้แก่

  1. กำหนดวงเงินที่พร้อมใช้จ่าย และควรเผื่อเพิ่มอีก 10-15% สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เช่น การเปลี่ยนแปลงแบบ หรือปัญหาระหว่างการก่อสร้าง
  2. รวบรวมเอกสารจำเป็น เช่น โฉนดที่ดิน ใบอนุญาตก่อสร้าง แบบแปลนบ้านที่ได้รับการรับรองจากวิศวกรหรือสถาปนิก และเอกสารขออนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ตรวจสอบลักษณะของพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งการเข้าถึง สภาพดิน การระบายน้ำ ตำแหน่งทิศทาง และข้อห้ามทางกฎหมายในการก่อสร้าง
  4. ออกแบบบ้านที่ตรงกับความต้องการกับการใช้งานจริง โดยคำนวณจากเงินทุนและพื้นที่ที่มี สามารถใช้บริการสถาปนิกเพื่อออกแบบ หรือเลือกแบบพร้อมสร้างจากบริษัทรับสร้างบ้านก็ได้ค่ะ
  5. ระบุรายละเอียดของวัสดุที่ต้องการใช้ในแต่ละส่วนของบ้าน เช่น โครงสร้าง พื้น ผนัง หลังคา ประตู หน้าต่าง และงานระบบต่าง ๆ เพื่อใช้คำนวณราคาและทำความเข้าใจกับผู้รับเหมาหรือบริษัทรับเหมาก่อสร้าง

การเตรียมตัวรอบด้านจะช่วยลดปัญหากับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง ทำให้การสร้างบ้านเป็นไปตามแผนและงบที่กำหนดไว้ค่ะ

 

การเลือกระหว่างผู้รับเหมากับบริษัทรับสร้างบ้าน

การเลือกระหว่างผู้รับเหมาอิสระกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างบ้าน มีผลโดยตรงต่อคุณภาพของบ้าน ค่าใช้จ่าย และภาพรวมของงานก่อสร้าง เพราะทั้งสองทางเลือกมีจุดเด่นกับจุดด้อยที่แตกต่างกัน ได้แก่

  • บริษัทรับสร้างบ้าน คือบริษัทที่ให้บริการรวมตั้งแต่การออกแบบ การจัดหาวัสดุ ไปจนถึงการก่อสร้าง
  • ผู้รับเหมาอิสระ คือ บุคคลหรือกลุ่มช่างที่รับงานก่อสร้างโดยตรง

หัวข้อเปรียบเทียบ บริษัทรับสร้างบ้าน ผู้รับเหมาอิสระ
ค่าใช้จ่าย สูงกว่า (ประมาณ 15-30%) ต่ำกว่า
ความน่าเชื่อถือ/ ความเสี่ยง
  • ความน่าเชื่อถือสูง
  • มีผลงานอ้างอิงชัดเจน
ความเสี่ยงสูงกว่า
(ด้านคุณภาพงาน และการทิ้งงาน)

ความยืดหยุ่น
(การปรับแบบ/วัสดุ)
  • น้อยกว่า
  • การเปลี่ยนแปลงระหว่างก่อสร้างอาจมีข้อจำกัด
  • สูงกว่า
  • ปรับเปลี่ยนได้ง่ายกว่า
การจัดการ/ ภาระเจ้าของบ้าน
  • ระบบจัดการมืออาชีพ
  • ลดภาระเจ้าของบ้านในการควบคุมงาน
  • เจ้าของบ้านต้องมีส่วนร่วมควบคุมงานสูง
  • ใช้ความรู้และเวลา
การรับประกันผลงาน มีการรับประกันชัดเจน
(ทั่วไป 1-5 ปี)
ไม่ชัดเจน หรืออาจไม่มี
ทีมงานและมาตรฐาน
  • มีทีมงานครบ (สถาปนิก หรือ วิศวกร)
  • มีมาตรฐานการก่อสร้าง
คุณภาพและมาตรฐานขึ้นกับประสบการณ์ผู้รับเหมารายบุคคล

การตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบที่มี ความรู้กับเวลาที่พร้อมในการควบคุมงาน และความต้องการด้านการรับประกันคุณภาพค่ะ

เกณฑ์การคัดเลือกผู้ให้บริการที่ไว้ใจได้

การเลือกระหว่างบริษัทรับสร้างบ้าน หรือผู้รับเหมาที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของโครงการสร้างบ้าน ควรมีหลักเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

  1. ประสบการณ์กับผลงานที่ผ่านมา ตรวจสอบระยะเวลาในการทำธุรกิจ จำนวนโครงการที่เคยทำ และผลงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบ้านที่ต้องการสร้าง
  2. ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ สอบถามจากลูกค้าเดิม อ่านรีวิวออนไลน์ หรือขอเยี่ยมชมผลงานที่เพิ่งเสร็จ เพื่อประเมินคุณภาพงานและความพึงพอใจของลูกค้า
  3. ความมั่นคงทางการเงิน ตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัทหรือผู้รับสร้างบ้าน เพื่อประเมินความเสี่ยงในการทิ้งงานกลางคันหรือการขาดสภาพคล่อง
  4. ใบอนุญาตและการรับรอง ตรวจสอบว่ามีใบอนุญาตทำธุรกิจที่ถูกต้อง และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาวิศวกร สภาสถาปนิก หรือสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
  5. ความพร้อมของทีมงาน พิจารณาว่ามีทีมงานที่พร้อมมีความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรงานระบบ และช่างผู้มีฝีมือ
  6. ความโปร่งใสในการเสนอราคา ราคาที่เสนอควรมีรายละเอียดที่ชัดเจน แยกตามหมวดหมู่งาน และระบุชนิดของวัสดุที่จะใช้อย่างละเอียด
  7. นโยบายการรับประกัน ตรวจสอบระยะเวลาและขอบเขตของการรับประกันหลังการก่อสร้าง รวมถึงการดูแลซ่อมแซมหลังการส่งมอบงาน
  8. การสื่อสารและการให้บริการ ประเมินความรวดเร็วและความชัดเจนในการตอบคำถาม รวมถึงความเอาใจใส่ต่อความต้องการของลูกค้า
  9. ความยืดหยุ่นในการทำงาน พิจารณาว่ามีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนแบบ หรือวัสดุตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ และมีกระบวนการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
  10. กำหนดการและการบริหารเวลา ตรวจสอบว่ามีการวางแผนงานที่ชัดเจน มีการกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอน และมีประวัติการส่งมอบงานตรงตามกำหนดเวลาหรือไม่

การคัดเลือกผู้ให้บริการที่มีคุณภาพตั้งแต่ต้น ช่วยลดความเสี่ยงกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง ทำให้การสร้างบ้านราบรื่นและได้ผลงานที่มีคุณภาพตามที่คาดหวังค่ะ

สิ่งที่ต้องระบุในสัญญาจ้างเหมาสร้างบ้าน

สัญญาจ้างเหมาสร้างบ้าน คือเอกสารหลักที่จะปกป้องผลประโยชน์ของทั้งเจ้าของบ้านกับผู้รับจ้าง สัญญาที่ดีควรมีความชัดเจน ครอบคลุม และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รายละเอียดควรระบุ มีดังนี้

  1. ระบุชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลติดต่อของเจ้าของบ้านและผู้รับจ้าง รวมถึงเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขทะเบียนนิติบุคคล หรือเลขที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
  2. ระบุขอบเขตของงานที่จะทำอย่างชัดเจน พร้อมแนบแบบแปลนบ้าน แบบโครงสร้าง แบบงานระบบ และรายการประกอบแบบที่ได้รับการลงนามรับรองจากทั้งสองฝ่าย
  3. ระบุรายละเอียดของวัสดุที่จะใช้ในการก่อสร้าง โดยระบุทั้งประเภท ยี่ห้อ รุ่น ขนาด สี และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่สำคัญ
  4. ระบุจำนวนเงินค่าจ้างทั้งหมด รวมถึงงวดงานและเงื่อนไขการชำระเงินในแต่ละงวด โดยควรกำหนดให้สอดคล้องกับความคืบหน้าของงานก่อสร้างจริง
  5. ระบุวันเริ่มต้นกับวันสิ้นสุดของการก่อสร้าง พร้อมทั้งแผนงานหรือตารางเวลาโดยละเอียด และบทลงโทษถ้ามีการส่งมอบงานล่าช้า
  6. ระบุกระบวนการกับเงื่อนไขในการขอเปลี่ยนแปลงแบบ หรือวัสดุระหว่างการก่อสร้าง รวมถึงผลกระทบต่อราคาและระยะเวลา
  7. ระบุระยะเวลากับขอบเขตของการรับประกันหลังการก่อสร้าง เช่น การรับประกันโครงสร้าง 5 ปี การรับประกันวัสดุมุงหลังคา 10 ปี และการรับประกันงานระบบ 1 ปี
  8. ระบุกระบวนการกับเกณฑ์ในการตรวจรับงานในแต่ละงวด และการตรวจรับงานขั้นสุดท้าย รวมถึงผู้มีอำนาจในการตรวจรับงาน
  9. ระบุเงื่อนไขและกระบวนการในการยกเลิกสัญญาของทั้งสองฝ่าย รวมถึงบทลงโทษหรือค่าปรับในกรณีที่มีการยกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันควร
  10. ระบุวิธีการในการระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเจรจาไกล่เกลี่ย การอนุญาโตตุลาการ หรือการฟ้องร้องต่อศาล
  11. ระบุว่าผู้รับจ้างสามารถโอนสิทธิ์หรือจ้างช่วงงานบางส่วนได้หรือไม่ และภายใต้เงื่อนไขอย่างไร
  12. ระบุความรับผิดชอบในการทำประกันภัยระหว่างการก่อสร้าง เช่น ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สาม หรือประกันภัยทรัพย์สิน

การระบุรายละเอียดเหล่านี้ในสัญญาสร้างบ้าน ช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้รับจ้าง ควรปรึกษาทนายความหรือผู้รู้ด้านกฎหมายก่อนลงนามในสัญญา เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญามีความสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายค่ะ

 

ลำดับขั้นตอนหลักในกระบวนการก่อสร้างบ้าน

การสร้างบ้านต้องดำเนินงานตามลำดับขั้นที่วางไว้ การทำแต่ละส่วนงานให้เสร็จสิ้นก่อนเริ่มส่วนถัดไป ช่วยให้การก่อสร้างมีประสิทธิภาพและได้บ้านที่แข็งแรง ขั้นตอนหลักในการก่อสร้างมีดังนี้

  1. การเตรียมพื้นที่ เริ่มจากการปรับพื้นที่ การถางหญ้า ขุดดิน และตรวจสอบระดับดิน รวมถึงการวางผังบ้านตามแบบแปลนที่ได้รับอนุมัติ
  2. งานฐานราก คือขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะเป็นส่วนที่รับน้ำหนักทั้งหมดของบ้าน โดยเริ่มจากการขุดหลุมเพื่อวางฐานราก การผูกเหล็กเสริมแรง และการเทคอนกรีต ต้องรอให้คอนกรีตแข็งตัวก่อนที่จะทำในขั้นตอนถัดไป
  3. งานโครงสร้าง ประกอบด้วยการก่อสร้างเสา คาน พื้น และโครงหลังคา โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากชั้นล่างและทำขึ้นไปเป็นชั้น ๆ การทำงานในขั้นตอนนี้ต้องมีความแม่นยำสูง เพื่อให้โครงสร้างมีความมั่นคงและปลอดภัย
  4. งานหลังคา เมื่อโครงสร้างเสร็จ จะเริ่มทำงานหลังคา ประกอบด้วยการติดตั้งโครงหลังคา การมุงหลังคา และการติดตั้งรางน้ำ เพื่อป้องกันน้ำฝนกับความร้อนจากภายนอก
  5. งานผนังและฝ้าเพดาน หลังจากที่มีหลังคาแล้ว จะเริ่มก่อผนัง ฉาบปูน และติดตั้งฝ้าเพดาน รวมถึงการเจาะช่องประตูและหน้าต่างตามแบบ
  6. งานระบบ ประกอบด้วยการติดตั้งระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบสุขาภิบาล และระบบอื่น ๆ ตามที่กำหนดในแบบ เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบเครือข่าย เป็นต้น
  7. งานตกแต่งภายใน เมื่องานระบบเสร็จ จะเริ่มงานตกแต่งภายใน เช่น การปูพื้น การทาสี การติดตั้งประตูกับหน้าต่าง การติดตั้งสุขภัณฑ์ และการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน
  8. งานตกแต่งภายนอก ประกอบด้วยการทาสีภายนอก การจัดสวน การทำทางเดิน การติดตั้งรั้ว ประตูรั้ว และระบบความปลอดภัยภายนอก
  9. การทำความสะอาดและเก็บงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการส่งมอบบ้าน โดยจะทำความสะอาดพื้นที่ทั้งหมด และตรวจสอบความเรียบร้อยของงานทุกส่วน เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น

การก่อสร้างบ้านมีขั้นตอนที่ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากวิศวกรหรือผู้ควบคุมงานเสมอ เพื่อให้งานทุกส่วนได้มาตรฐานตามแบบก่อนดำเนินงานขั้นต่อไป ส่วนระยะเวลาการก่อสร้างจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นกับขนาดและความซับซ้อนของบ้านค่ะ

 

การเลือกวัสดุปูพื้นและประตูสำหรับสร้างบ้านใหม่

การเลือกวัสดุปูพื้นและประตูเป็นส่วนหลักในการสร้างบ้าน ที่ส่งผลต่อทั้งความสวยงาม ความทนทาน การใช้งาน เพราะวัสดุที่เหมาะสมจะช่วยให้บ้านมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยค่ะ

การเลือกวัสดุปูพื้น

วัสดุปูพื้นมีหลากหลายประเภท ควรเลือกตามความเหมาะกับพื้นที่ใช้งาน ได้แก่

  1. กระเบื้องเซรามิก วัสดุที่ใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาไม่แพง ทนทาน ดูแลง่าย มีให้เลือกหลากหลายลวดลายและขนาด เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว และระเบียง แต่อาจไม่เก็บความร้อนทำให้รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส
  2. กระเบื้องแกรนิต มีความแข็งแรงและทนทานสูงกว่ากระเบื้องเซรามิก มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ แต่มีราคาสูงกว่า เหมาะกับพื้นที่ที่มีการสัญจรหนาแน่น เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก หรือทางเดิน
  3. ไม้จริง ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ มีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ต้องดูแลรักษามาก ไม่เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น มีราคาสูง เหมาะกับห้องนอน ห้องทำงาน หรือพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามพิเศษ
  4. ไม้ลามิเนต เป็นทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าไม้จริง ให้ลุคที่คล้ายไม้ ติดตั้งง่าย แต่มีความทนทานน้อยกว่าและอาจเสียหายได้ถ้าโดนน้ำเป็นเวลานาน
  5. ไวนิล มีความยืดหยุ่น นุ่มเท้า กันน้ำได้ดี มีราคาไม่แพง มีหลากหลายลวดลายให้เลือก เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ เพราะลดความเสี่ยงในการลื่นล้มและการกระแทก

การเลือกประตู

การเลือกประตูสำหรับการสร้างบ้าน ต้องคำนึงถึงทั้งความสวยงาม ความปลอดภัย และการใช้งาน ได้แก่

  1. ประตูไม้ มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ สามารถแกะสลักหรือตกแต่งได้หลากหลาย แต่อาจบวมหรือหดตัวตามสภาพอากาศ ต้องดูแลรักษามาก ประตูไม้มีหลายประเภท เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้มะค่า โดยไม้สักเป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะมีความทนทานสูงและต้านทานปลวกได้ดี
  2. ประตู UPVC มีน้ำหนักเบา ทนทานต่อสภาพอากาศ กันน้ำ กันปลวก มีราคาไม่แพง เหมาะกับประตูภายนอกหรือประตูห้องน้ำ แต่อาจมีข้อจำกัดด้านรูปแบบและสีสัน
  3. ประตูอลูมิเนียม มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา ทนทานต่อสภาพอากาศ และไม่ต้องดูแลรักษามาก เหมาะกับประตูภายนอกหรือประตูกระจก แต่อาจให้ความรู้สึกเย็นและไม่เป็นธรรมชาติ
  4. ประตูเหล็ก มีความแข็งแรงและปลอดภัยสูง เหมาะกับประตูหน้าบ้านหรือประตูที่ต้องการความปลอดภัยพิเศษ แต่อาจเกิดสนิมได้ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ดี
  5. ประตูกระจก ให้ความโปร่งและเพิ่มแสงธรรมชาติให้กับพื้นที่ เหมาะกับประตูเชื่อมระหว่างพื้นที่ภายในกับระเบียงหรือสวน แต่ต้องเลือกกระจกนิรภัยเพื่อความปลอดภัย

การสร้างบ้านควรเลือกวัสดุปูพื้นและประตูควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบที่มี สภาพภูมิอากาศ ลักษณะการใช้งาน รูปแบบการตกแต่งของบ้าน การเลือกวัสดุที่มีคุณภาพดีตั้งแต่แรกอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและเปลี่ยนในระยะยาว

 

ขั้นตอนการตรวจรับบ้านและการส่งมอบงาน

การตรวจรับบ้านกับการส่งมอบงานนับ คือขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างบ้าน เพื่อยืนยันว่าบ้านที่สร้างเสร็จมีคุณภาพตรงตามแบบและข้อกำหนดในสัญญาค่ะ

ขั้นตอนการตรวจรับบ้าน

  1. การเตรียมตัวก่อนตรวจรับ ควรศึกษาแบบบ้าน รายการวัสดุ และสัญญาให้เข้าใจ อาจเตรียมเครื่องมือช่วยในการตรวจสอบ เช่น ตลับเมตร ระดับน้ำ ไฟฉาย กล้องถ่ายรูป และควรเตรียมรายการตรวจสอบ (Checklist) เพื่อให้การตรวจรับครบทุกด้าน
  2. การตรวจสอบโครงสร้าง ตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างหลัก เช่น เสา คาน พื้น หลังคา ดูว่ามีรอยแตกร้าว รอยรั่ว หรือความผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่ ตรวจสอบระดับพื้นว่าเรียบและได้ระดับหรือไม่ โดยใช้ลูกตุ้มหรือลูกปัดลอดเพื่อตรวจสอบ
  3. การตรวจสอบงานสถาปัตยกรรม ตรวจสอบผนัง ฝ้าเพดาน ประตู หน้าต่าง และส่วนตกแต่งต่าง ๆ ว่าเป็นไปตามแบบและใช้วัสดุตามที่ระบุในสัญญาหรือไม่ ตรวจสอบการติดตั้งว่าแน่นหนาและเรียบร้อยหรือไม่ ตรวจสอบการทาสีว่าเรียบเนียนและไม่มีตำหนิหรือไม่
  4. การตรวจสอบงานระบบ ทดสอบระบบไฟฟ้าโดยเปิดปิดสวิตช์ไฟและเต้ารับทุกจุด ทดสอบระบบประปาโดยเปิดปิดก๊อกน้ำและชักโครกทุกจุด ตรวจสอบการระบายน้ำว่าไหลลงท่อได้ดีหรือไม่ ทดสอบระบบอื่น ๆ ตามที่ติดตั้ง เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย
  5. การตรวจสอบงานตกแต่ง ตรวจสอบงานปูพื้น งานกระเบื้อง งานตกแต่งอื่น ๆ ว่าเรียบร้อยและไม่มีตำหนิหรือไม่ ตรวจสอบการติดตั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ว่าใช้งานได้ดีหรือไม่
  6. การบันทึกข้อบกพร่อง จดบันทึกข้อบกพร่องหรือสิ่งที่ต้องแก้ไขทั้งหมด พร้อมถ่ายรูปเป็นหลักฐาน และแจ้งให้ผู้รับเหมาหรือบริษัทรับสร้างบ้านทราบเพื่อแก้ไข

การส่งมอบงาน

การส่งมอบงานหลังจากที่ได้แก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมดแล้ว จะมีการส่งมอบงานอย่างเป็นทางการ ดังนี้

  1. ตรวจสอบว่าข้อบกพร่องทั้งหมดได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และบ้านพร้อมสำหรับการเข้าอยู่อาศัย
  2. ผู้รับเหมาหรือบริษัทรับสร้างบ้านจะส่งมอบเอกสารสำคัญ เช่น แบบก่อสร้างจริง (As-built Drawing) คู่มือการใช้งานกับการดูแลรักษาบ้าน ใบรับประกัน และเอกสารการรับรองต่าง ๆ
  3. เมื่อเจ้าของบ้านพอใจกับงานทั้งหมด จะมีการชำระเงินงวดสุดท้ายตามที่ระบุในสัญญา
  4. กรณีที่เป็นบ้านจัดสรร จะมีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้กับเจ้าของบ้าน
  5. เมื่อส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มนับระยะเวลารับประกันตามที่ระบุในสัญญา

การตรวจรับบ้านอย่างรอบคอบกับการส่งมอบงานที่เป็นระบบ ช่วยให้เจ้าของบ้านได้รับบ้านที่มีคุณภาพตามที่คาดหวัง และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากเข้าอยู่อาศัย ถ้าเจ้าของบ้านไม่มั่นใจในการตรวจรับด้วยตัวเอง สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกรหรือสถาปนิกอิสระ มาช่วยในการตรวจรับได้ค่ะ

 

สรุป

การสร้างบ้าน เริ่มต้นที่การตัดสินใจเลือกระหว่าง บริษัทรับเหมาก่อสร้างกับผู้รับเหมาอิสระ เพราะบริษัทรับสร้างบ้านให้ความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานและมีการรับประกัน แต่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนผู้รับเหมาอิสระให้ความยืดหยุ่น มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า แต่มาพร้อมความเสี่ยงถ้าขาดการควบคุมงานที่ดี

สิ่งสำคัญคือการศึกษาข้อมูลรอบด้าน ตั้งแต่การทำสัญญาที่รัดกุม การเลือกใช้วัสดุที่เข้ากับลักษณะงาน การตรวจสอบประวัติผู้ให้บริการ รวมถึงการมีส่วนร่วมและตรวจรับงานทุกขั้นตอนของเจ้าของบ้าน ทำให้การก่อสร้างบ้านสำเร็จด้วยดีค่ะ


บทความที่เกี่ยวข้อง
การเลือกใช้ อิฐ สำหรับผนังภายนอกและภายในอาคาร พร้อมขั้นตอนการก่อ
เปรียบเทียบคุณสมบัติของ อิฐก่อสร้าง ทั้ง 4 ประเภท พร้อมวิธีเลือกใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของบ้าน รวมถึงขั้นตอนการก่ออิฐให้ได้ผนังที่แข็งแรงและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
7 ก.ค. 2025
3 ประเภท เสา สำหรับสร้างบ้าน เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม
แนะนำประเภทของ เสา ที่ใช้ในการก่อสร้าง ตั้งแต่การเลือกขนาด ขั้นตอนติดตั้ง และมาตรฐานที่จำเป็น เพื่อให้เสาบ้านของคุณแข็งแรงทนทาน
7 ก.ค. 2025
บริษัทรับเหมาก่อสร้าง นครสวรรค์ พร้อมข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
รวม 4 บริษัทรับเหมา จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมแนวทางคัดเลือก และอธิบายขั้นตอนการทำงานร่วมกัน เพื่อให้คุณเลือกผู้รับจ้างที่ใช่สำหรับโครงการของคุณ
7 ก.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy