สร้างบ้าน เลือกแบบไหนดี ? ระหว่าง บริษัทรับก่อสร้าง กับ ผู้รับเหมาอิสระ
S.J.Building สรุปให้
-
การสร้างบ้าน มีทางเลือกหลัก 2 ทาง ได้แก่ บริษัทรับเหมาก่อสร้างหรือผู้รับเหมาอิสระ แต่ละทางมีข้อได้เปรียบต่างกัน
-
บริษัทรับสร้างบ้าน เหมาะกับผู้มีงบสูง ต้องการความมั่นใจเรื่องคุณภาพและการรับประกัน แต่มีราคาสูงกว่า
-
ผู้รับเหมาอิสระ เหมาะกับผู้มีงบจำกัด มีความรู้พื้นฐานเรื่องการก่อสร้าง และมีเวลาควบคุมงาน แต่มีความเสี่ยงสูง
-
ก่อนสร้างบ้าน ควรวางแผนการเงิน เตรียมเอกสารจำเป็น และตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้าง
-
สัญญาจ้างเหมาต้องระบุรายละเอียดให้ชัด ทั้งขอบเขตงาน การเงิน ระยะเวลา และการรับประกัน
-
การตรวจรับบ้านต้องตรวจสอบทั้งโครงสร้าง งานระบบ และงานตกแต่ง เพื่อให้แน่ใจว่าได้บ้านคุณภาพตามที่ตกลง
สร้างบ้าน ต้องใช้ทั้งเงินและเวลาจำนวนมาก การตัดสินใจเลือกระหว่าง บริษัทรับเหมาก่อสร้างกับผู้รับเหมาอิสระทั้งสองทางเลือกมีข้อได้เปรียบกับข้อเสียต่างกัน ที่ต้องพิจารณาให้เข้ากับความต้องการ งบ และความพร้อมของเจ้าของบ้าน
บทความนี้ S.J.Building ได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบทั้งสองรูปแบบ พร้อมมอบคำแนะนำในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การเตรียมตัว การทำสัญญา จนถึงการตรวจรับงาน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจเลือกวิธีการสร้างบ้านที่เหมาะกับคุณที่สุดค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- S.J.Building สรุปให้
- ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเริ่ม สร้างบ้าน
- การเลือกระหว่างผู้รับเหมากับบริษัทรับสร้างบ้าน
- ลำดับขั้นตอนหลักในกระบวนการก่อสร้างบ้าน
- การเลือกวัสดุปูพื้นและประตูสำหรับสร้างบ้านใหม่
- ขั้นตอนการตรวจรับบ้านและการส่งมอบงาน
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเริ่ม สร้างบ้าน
ก่อนที่จะเริ่ม สร้างบ้าน มีขั้นตอนพื้นฐานที่ควรทำเพื่อให้การก่อสร้างราบรื่น ได้แก่
- กำหนดวงเงินที่พร้อมใช้จ่าย และควรเผื่อเพิ่มอีก 10-15% สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน เช่น การเปลี่ยนแปลงแบบ หรือปัญหาระหว่างการก่อสร้าง
- รวบรวมเอกสารจำเป็น เช่น โฉนดที่ดิน ใบอนุญาตก่อสร้าง แบบแปลนบ้านที่ได้รับการรับรองจากวิศวกรหรือสถาปนิก และเอกสารขออนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่น
- ตรวจสอบลักษณะของพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งการเข้าถึง สภาพดิน การระบายน้ำ ตำแหน่งทิศทาง และข้อห้ามทางกฎหมายในการก่อสร้าง
- ออกแบบบ้านที่ตรงกับความต้องการกับการใช้งานจริง โดยคำนวณจากเงินทุนและพื้นที่ที่มี สามารถใช้บริการสถาปนิกเพื่อออกแบบ หรือเลือกแบบพร้อมสร้างจากบริษัทรับสร้างบ้านก็ได้ค่ะ
-
ระบุรายละเอียดของวัสดุที่ต้องการใช้ในแต่ละส่วนของบ้าน เช่น โครงสร้าง พื้น ผนัง หลังคา ประตู หน้าต่าง และงานระบบต่าง ๆ เพื่อใช้คำนวณราคาและทำความเข้าใจกับผู้รับเหมาหรือบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
การเตรียมตัวรอบด้านจะช่วยลดปัญหากับความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง ทำให้การสร้างบ้านเป็นไปตามแผนและงบที่กำหนดไว้ค่ะ
การเลือกระหว่างผู้รับเหมากับบริษัทรับสร้างบ้าน
การเลือกระหว่างผู้รับเหมาอิสระกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างบ้าน มีผลโดยตรงต่อคุณภาพของบ้าน ค่าใช้จ่าย และภาพรวมของงานก่อสร้าง เพราะทั้งสองทางเลือกมีจุดเด่นกับจุดด้อยที่แตกต่างกัน ได้แก่
- บริษัทรับสร้างบ้าน คือบริษัทที่ให้บริการรวมตั้งแต่การออกแบบ การจัดหาวัสดุ ไปจนถึงการก่อสร้าง
-
ผู้รับเหมาอิสระ คือ บุคคลหรือกลุ่มช่างที่รับงานก่อสร้างโดยตรง
หัวข้อเปรียบเทียบ | บริษัทรับสร้างบ้าน | ผู้รับเหมาอิสระ |
---|---|---|
ค่าใช้จ่าย | สูงกว่า (ประมาณ 15-30%) | ต่ำกว่า |
ความน่าเชื่อถือ/ ความเสี่ยง |
|
ความเสี่ยงสูงกว่า (ด้านคุณภาพงาน และการทิ้งงาน) |
ความยืดหยุ่น (การปรับแบบ/วัสดุ) |
|
|
การจัดการ/ ภาระเจ้าของบ้าน |
|
|
การรับประกันผลงาน | มีการรับประกันชัดเจน (ทั่วไป 1-5 ปี) |
ไม่ชัดเจน หรืออาจไม่มี |
ทีมงานและมาตรฐาน |
|
คุณภาพและมาตรฐานขึ้นกับประสบการณ์ผู้รับเหมารายบุคคล |
การตัดสินใจว่าจะเลือกแบบไหนควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบที่มี ความรู้กับเวลาที่พร้อมในการควบคุมงาน และความต้องการด้านการรับประกันคุณภาพค่ะ
เกณฑ์การคัดเลือกผู้ให้บริการที่ไว้ใจได้
การเลือกระหว่างบริษัทรับสร้างบ้าน หรือผู้รับเหมาที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของโครงการสร้างบ้าน ควรมีหลักเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจ ดังนี้
- ประสบการณ์กับผลงานที่ผ่านมา ตรวจสอบระยะเวลาในการทำธุรกิจ จำนวนโครงการที่เคยทำ และผลงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบ้านที่ต้องการสร้าง
- ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ สอบถามจากลูกค้าเดิม อ่านรีวิวออนไลน์ หรือขอเยี่ยมชมผลงานที่เพิ่งเสร็จ เพื่อประเมินคุณภาพงานและความพึงพอใจของลูกค้า
- ความมั่นคงทางการเงิน ตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัทหรือผู้รับสร้างบ้าน เพื่อประเมินความเสี่ยงในการทิ้งงานกลางคันหรือการขาดสภาพคล่อง
- ใบอนุญาตและการรับรอง ตรวจสอบว่ามีใบอนุญาตทำธุรกิจที่ถูกต้อง และได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาวิศวกร สภาสถาปนิก หรือสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
- ความพร้อมของทีมงาน พิจารณาว่ามีทีมงานที่พร้อมมีความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรงานระบบ และช่างผู้มีฝีมือ
- ความโปร่งใสในการเสนอราคา ราคาที่เสนอควรมีรายละเอียดที่ชัดเจน แยกตามหมวดหมู่งาน และระบุชนิดของวัสดุที่จะใช้อย่างละเอียด
- นโยบายการรับประกัน ตรวจสอบระยะเวลาและขอบเขตของการรับประกันหลังการก่อสร้าง รวมถึงการดูแลซ่อมแซมหลังการส่งมอบงาน
- การสื่อสารและการให้บริการ ประเมินความรวดเร็วและความชัดเจนในการตอบคำถาม รวมถึงความเอาใจใส่ต่อความต้องการของลูกค้า
- ความยืดหยุ่นในการทำงาน พิจารณาว่ามีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนแบบ หรือวัสดุตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ และมีกระบวนการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
-
กำหนดการและการบริหารเวลา ตรวจสอบว่ามีการวางแผนงานที่ชัดเจน มีการกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอน และมีประวัติการส่งมอบงานตรงตามกำหนดเวลาหรือไม่
การคัดเลือกผู้ให้บริการที่มีคุณภาพตั้งแต่ต้น ช่วยลดความเสี่ยงกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้าง ทำให้การสร้างบ้านราบรื่นและได้ผลงานที่มีคุณภาพตามที่คาดหวังค่ะ
สิ่งที่ต้องระบุในสัญญาจ้างเหมาสร้างบ้าน
สัญญาจ้างเหมาสร้างบ้าน คือเอกสารหลักที่จะปกป้องผลประโยชน์ของทั้งเจ้าของบ้านกับผู้รับจ้าง สัญญาที่ดีควรมีความชัดเจน ครอบคลุม และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รายละเอียดควรระบุ มีดังนี้
- ระบุชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลติดต่อของเจ้าของบ้านและผู้รับจ้าง รวมถึงเลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขทะเบียนนิติบุคคล หรือเลขที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
- ระบุขอบเขตของงานที่จะทำอย่างชัดเจน พร้อมแนบแบบแปลนบ้าน แบบโครงสร้าง แบบงานระบบ และรายการประกอบแบบที่ได้รับการลงนามรับรองจากทั้งสองฝ่าย
- ระบุรายละเอียดของวัสดุที่จะใช้ในการก่อสร้าง โดยระบุทั้งประเภท ยี่ห้อ รุ่น ขนาด สี และคุณสมบัติอื่น ๆ ที่สำคัญ
- ระบุจำนวนเงินค่าจ้างทั้งหมด รวมถึงงวดงานและเงื่อนไขการชำระเงินในแต่ละงวด โดยควรกำหนดให้สอดคล้องกับความคืบหน้าของงานก่อสร้างจริง
- ระบุวันเริ่มต้นกับวันสิ้นสุดของการก่อสร้าง พร้อมทั้งแผนงานหรือตารางเวลาโดยละเอียด และบทลงโทษถ้ามีการส่งมอบงานล่าช้า
- ระบุกระบวนการกับเงื่อนไขในการขอเปลี่ยนแปลงแบบ หรือวัสดุระหว่างการก่อสร้าง รวมถึงผลกระทบต่อราคาและระยะเวลา
- ระบุระยะเวลากับขอบเขตของการรับประกันหลังการก่อสร้าง เช่น การรับประกันโครงสร้าง 5 ปี การรับประกันวัสดุมุงหลังคา 10 ปี และการรับประกันงานระบบ 1 ปี
- ระบุกระบวนการกับเกณฑ์ในการตรวจรับงานในแต่ละงวด และการตรวจรับงานขั้นสุดท้าย รวมถึงผู้มีอำนาจในการตรวจรับงาน
- ระบุเงื่อนไขและกระบวนการในการยกเลิกสัญญาของทั้งสองฝ่าย รวมถึงบทลงโทษหรือค่าปรับในกรณีที่มีการยกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันควร
- ระบุวิธีการในการระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเจรจาไกล่เกลี่ย การอนุญาโตตุลาการ หรือการฟ้องร้องต่อศาล
- ระบุว่าผู้รับจ้างสามารถโอนสิทธิ์หรือจ้างช่วงงานบางส่วนได้หรือไม่ และภายใต้เงื่อนไขอย่างไร
-
ระบุความรับผิดชอบในการทำประกันภัยระหว่างการก่อสร้าง เช่น ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สาม หรือประกันภัยทรัพย์สิน
การระบุรายละเอียดเหล่านี้ในสัญญาสร้างบ้าน ช่วยป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้รับจ้าง ควรปรึกษาทนายความหรือผู้รู้ด้านกฎหมายก่อนลงนามในสัญญา เพื่อให้แน่ใจว่าสัญญามีความสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายค่ะ
ลำดับขั้นตอนหลักในกระบวนการก่อสร้างบ้าน
การสร้างบ้านต้องดำเนินงานตามลำดับขั้นที่วางไว้ การทำแต่ละส่วนงานให้เสร็จสิ้นก่อนเริ่มส่วนถัดไป ช่วยให้การก่อสร้างมีประสิทธิภาพและได้บ้านที่แข็งแรง ขั้นตอนหลักในการก่อสร้างมีดังนี้
- การเตรียมพื้นที่ เริ่มจากการปรับพื้นที่ การถางหญ้า ขุดดิน และตรวจสอบระดับดิน รวมถึงการวางผังบ้านตามแบบแปลนที่ได้รับอนุมัติ
- งานฐานราก คือขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะเป็นส่วนที่รับน้ำหนักทั้งหมดของบ้าน โดยเริ่มจากการขุดหลุมเพื่อวางฐานราก การผูกเหล็กเสริมแรง และการเทคอนกรีต ต้องรอให้คอนกรีตแข็งตัวก่อนที่จะทำในขั้นตอนถัดไป
- งานโครงสร้าง ประกอบด้วยการก่อสร้างเสา คาน พื้น และโครงหลังคา โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากชั้นล่างและทำขึ้นไปเป็นชั้น ๆ การทำงานในขั้นตอนนี้ต้องมีความแม่นยำสูง เพื่อให้โครงสร้างมีความมั่นคงและปลอดภัย
- งานหลังคา เมื่อโครงสร้างเสร็จ จะเริ่มทำงานหลังคา ประกอบด้วยการติดตั้งโครงหลังคา การมุงหลังคา และการติดตั้งรางน้ำ เพื่อป้องกันน้ำฝนกับความร้อนจากภายนอก
- งานผนังและฝ้าเพดาน หลังจากที่มีหลังคาแล้ว จะเริ่มก่อผนัง ฉาบปูน และติดตั้งฝ้าเพดาน รวมถึงการเจาะช่องประตูและหน้าต่างตามแบบ
- งานระบบ ประกอบด้วยการติดตั้งระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบสุขาภิบาล และระบบอื่น ๆ ตามที่กำหนดในแบบ เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย ระบบเครือข่าย เป็นต้น
- งานตกแต่งภายใน เมื่องานระบบเสร็จ จะเริ่มงานตกแต่งภายใน เช่น การปูพื้น การทาสี การติดตั้งประตูกับหน้าต่าง การติดตั้งสุขภัณฑ์ และการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน
- งานตกแต่งภายนอก ประกอบด้วยการทาสีภายนอก การจัดสวน การทำทางเดิน การติดตั้งรั้ว ประตูรั้ว และระบบความปลอดภัยภายนอก
-
การทำความสะอาดและเก็บงาน เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการส่งมอบบ้าน โดยจะทำความสะอาดพื้นที่ทั้งหมด และตรวจสอบความเรียบร้อยของงานทุกส่วน เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น
การก่อสร้างบ้านมีขั้นตอนที่ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากวิศวกรหรือผู้ควบคุมงานเสมอ เพื่อให้งานทุกส่วนได้มาตรฐานตามแบบก่อนดำเนินงานขั้นต่อไป ส่วนระยะเวลาการก่อสร้างจะใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นกับขนาดและความซับซ้อนของบ้านค่ะ
การเลือกวัสดุปูพื้นและประตูสำหรับสร้างบ้านใหม่
การเลือกวัสดุปูพื้นและประตูเป็นส่วนหลักในการสร้างบ้าน ที่ส่งผลต่อทั้งความสวยงาม ความทนทาน การใช้งาน เพราะวัสดุที่เหมาะสมจะช่วยให้บ้านมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยค่ะ
การเลือกวัสดุปูพื้น
วัสดุปูพื้นมีหลากหลายประเภท ควรเลือกตามความเหมาะกับพื้นที่ใช้งาน ได้แก่
- กระเบื้องเซรามิก วัสดุที่ใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาไม่แพง ทนทาน ดูแลง่าย มีให้เลือกหลากหลายลวดลายและขนาด เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว และระเบียง แต่อาจไม่เก็บความร้อนทำให้รู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส
- กระเบื้องแกรนิต มีความแข็งแรงและทนทานสูงกว่ากระเบื้องเซรามิก มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ แต่มีราคาสูงกว่า เหมาะกับพื้นที่ที่มีการสัญจรหนาแน่น เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก หรือทางเดิน
- ไม้จริง ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ มีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ต้องดูแลรักษามาก ไม่เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้น มีราคาสูง เหมาะกับห้องนอน ห้องทำงาน หรือพื้นที่ที่ต้องการความสวยงามพิเศษ
- ไม้ลามิเนต เป็นทางเลือกที่มีราคาถูกกว่าไม้จริง ให้ลุคที่คล้ายไม้ ติดตั้งง่าย แต่มีความทนทานน้อยกว่าและอาจเสียหายได้ถ้าโดนน้ำเป็นเวลานาน
-
ไวนิล มีความยืดหยุ่น นุ่มเท้า กันน้ำได้ดี มีราคาไม่แพง มีหลากหลายลวดลายให้เลือก เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ เพราะลดความเสี่ยงในการลื่นล้มและการกระแทก
การเลือกประตู
การเลือกประตูสำหรับการสร้างบ้าน ต้องคำนึงถึงทั้งความสวยงาม ความปลอดภัย และการใช้งาน ได้แก่
- ประตูไม้ มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ สามารถแกะสลักหรือตกแต่งได้หลากหลาย แต่อาจบวมหรือหดตัวตามสภาพอากาศ ต้องดูแลรักษามาก ประตูไม้มีหลายประเภท เช่น ไม้สัก ไม้แดง ไม้มะค่า โดยไม้สักเป็นที่นิยมมากที่สุดเพราะมีความทนทานสูงและต้านทานปลวกได้ดี
- ประตู UPVC มีน้ำหนักเบา ทนทานต่อสภาพอากาศ กันน้ำ กันปลวก มีราคาไม่แพง เหมาะกับประตูภายนอกหรือประตูห้องน้ำ แต่อาจมีข้อจำกัดด้านรูปแบบและสีสัน
- ประตูอลูมิเนียม มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา ทนทานต่อสภาพอากาศ และไม่ต้องดูแลรักษามาก เหมาะกับประตูภายนอกหรือประตูกระจก แต่อาจให้ความรู้สึกเย็นและไม่เป็นธรรมชาติ
- ประตูเหล็ก มีความแข็งแรงและปลอดภัยสูง เหมาะกับประตูหน้าบ้านหรือประตูที่ต้องการความปลอดภัยพิเศษ แต่อาจเกิดสนิมได้ถ้าไม่ได้รับการดูแลที่ดี
-
ประตูกระจก ให้ความโปร่งและเพิ่มแสงธรรมชาติให้กับพื้นที่ เหมาะกับประตูเชื่อมระหว่างพื้นที่ภายในกับระเบียงหรือสวน แต่ต้องเลือกกระจกนิรภัยเพื่อความปลอดภัย
การสร้างบ้านควรเลือกวัสดุปูพื้นและประตูควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบที่มี สภาพภูมิอากาศ ลักษณะการใช้งาน รูปแบบการตกแต่งของบ้าน การเลือกวัสดุที่มีคุณภาพดีตั้งแต่แรกอาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและเปลี่ยนในระยะยาว
ขั้นตอนการตรวจรับบ้านและการส่งมอบงาน
การตรวจรับบ้านกับการส่งมอบงานนับ คือขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างบ้าน เพื่อยืนยันว่าบ้านที่สร้างเสร็จมีคุณภาพตรงตามแบบและข้อกำหนดในสัญญาค่ะ
ขั้นตอนการตรวจรับบ้าน
- การเตรียมตัวก่อนตรวจรับ ควรศึกษาแบบบ้าน รายการวัสดุ และสัญญาให้เข้าใจ อาจเตรียมเครื่องมือช่วยในการตรวจสอบ เช่น ตลับเมตร ระดับน้ำ ไฟฉาย กล้องถ่ายรูป และควรเตรียมรายการตรวจสอบ (Checklist) เพื่อให้การตรวจรับครบทุกด้าน
- การตรวจสอบโครงสร้าง ตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างหลัก เช่น เสา คาน พื้น หลังคา ดูว่ามีรอยแตกร้าว รอยรั่ว หรือความผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่ ตรวจสอบระดับพื้นว่าเรียบและได้ระดับหรือไม่ โดยใช้ลูกตุ้มหรือลูกปัดลอดเพื่อตรวจสอบ
- การตรวจสอบงานสถาปัตยกรรม ตรวจสอบผนัง ฝ้าเพดาน ประตู หน้าต่าง และส่วนตกแต่งต่าง ๆ ว่าเป็นไปตามแบบและใช้วัสดุตามที่ระบุในสัญญาหรือไม่ ตรวจสอบการติดตั้งว่าแน่นหนาและเรียบร้อยหรือไม่ ตรวจสอบการทาสีว่าเรียบเนียนและไม่มีตำหนิหรือไม่
- การตรวจสอบงานระบบ ทดสอบระบบไฟฟ้าโดยเปิดปิดสวิตช์ไฟและเต้ารับทุกจุด ทดสอบระบบประปาโดยเปิดปิดก๊อกน้ำและชักโครกทุกจุด ตรวจสอบการระบายน้ำว่าไหลลงท่อได้ดีหรือไม่ ทดสอบระบบอื่น ๆ ตามที่ติดตั้ง เช่น ระบบปรับอากาศ ระบบรักษาความปลอดภัย
- การตรวจสอบงานตกแต่ง ตรวจสอบงานปูพื้น งานกระเบื้อง งานตกแต่งอื่น ๆ ว่าเรียบร้อยและไม่มีตำหนิหรือไม่ ตรวจสอบการติดตั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ว่าใช้งานได้ดีหรือไม่
-
การบันทึกข้อบกพร่อง จดบันทึกข้อบกพร่องหรือสิ่งที่ต้องแก้ไขทั้งหมด พร้อมถ่ายรูปเป็นหลักฐาน และแจ้งให้ผู้รับเหมาหรือบริษัทรับสร้างบ้านทราบเพื่อแก้ไข
การส่งมอบงาน
การส่งมอบงานหลังจากที่ได้แก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมดแล้ว จะมีการส่งมอบงานอย่างเป็นทางการ ดังนี้
- ตรวจสอบว่าข้อบกพร่องทั้งหมดได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว และบ้านพร้อมสำหรับการเข้าอยู่อาศัย
- ผู้รับเหมาหรือบริษัทรับสร้างบ้านจะส่งมอบเอกสารสำคัญ เช่น แบบก่อสร้างจริง (As-built Drawing) คู่มือการใช้งานกับการดูแลรักษาบ้าน ใบรับประกัน และเอกสารการรับรองต่าง ๆ
- เมื่อเจ้าของบ้านพอใจกับงานทั้งหมด จะมีการชำระเงินงวดสุดท้ายตามที่ระบุในสัญญา
- กรณีที่เป็นบ้านจัดสรร จะมีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้กับเจ้าของบ้าน
-
เมื่อส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จะเริ่มนับระยะเวลารับประกันตามที่ระบุในสัญญา
การตรวจรับบ้านอย่างรอบคอบกับการส่งมอบงานที่เป็นระบบ ช่วยให้เจ้าของบ้านได้รับบ้านที่มีคุณภาพตามที่คาดหวัง และช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากเข้าอยู่อาศัย ถ้าเจ้าของบ้านไม่มั่นใจในการตรวจรับด้วยตัวเอง สามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญ เช่น วิศวกรหรือสถาปนิกอิสระ มาช่วยในการตรวจรับได้ค่ะ
สรุป
การสร้างบ้าน เริ่มต้นที่การตัดสินใจเลือกระหว่าง บริษัทรับเหมาก่อสร้างกับผู้รับเหมาอิสระ เพราะบริษัทรับสร้างบ้านให้ความเชื่อมั่นด้านมาตรฐานและมีการรับประกัน แต่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนผู้รับเหมาอิสระให้ความยืดหยุ่น มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า แต่มาพร้อมความเสี่ยงถ้าขาดการควบคุมงานที่ดี
สิ่งสำคัญคือการศึกษาข้อมูลรอบด้าน ตั้งแต่การทำสัญญาที่รัดกุม การเลือกใช้วัสดุที่เข้ากับลักษณะงาน การตรวจสอบประวัติผู้ให้บริการ รวมถึงการมีส่วนร่วมและตรวจรับงานทุกขั้นตอนของเจ้าของบ้าน ทำให้การก่อสร้างบ้านสำเร็จด้วยดีค่ะ