10 คุณสมบัติของไม้ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน

S.J.Building สรุปให้
- คุณสมบัติของไม้ ด้านความแข็งแรงและความทนทาน จะแบ่งตามระดับความแข็งแรง ตั้งแต่ 600-1,000 กก./ลบ.ม. ส่งผลต่ออายุการใช้งาน 2-6 ปี
- ไม้แบ่งได้ประเภท 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อแข็งปานกลาง และไม้เนื้ออ่อน ตามค่าความแข็งแรงในการดัดกับ มมททมทท ความทนทาน
- คุณสมบัติของไม้เนื้อแข็งจะเกิดการบิดตัวเมื่อเจอความชื้นหรือความร้อน
- ไม้เนื้อแข็งทนต่อแดด ฝน ปลวก และเชื้อราได้ดีกว่าไม้เนื้ออ่อน
- ไม้เนื้อแข็งเหมาะสำหรับงานรับน้ำหนักงานโครงสร้าง เช่น เสา คาน พื้น
-
ไม้มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนดขนาดและคุณภาพของไม้แปรรูปเพื่อการใช้งาน
คุณสมบัติของไม้ มีผลโดยตรงต่อคุณภาพ ความทนทานของงานก่อสร้างและชิ้นงานต่าง ๆ เพราะไม้เป็นวัสดุก่อสร้างจากธรรมชาติที่มีน้ำหนักเบา ปรับเปลี่ยนรูปทรงได้สะดวก และมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์
บทความนี้ S.J.Building จะอธิบายคุณสมบัติสำคัญของไม้ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้ เพื่อให้สามารถเลือกชนิดของไม้ที่ตอบโจทย์การใช้งานและมีความแข็งแรงทนทานตามที่ต้องการค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- S.J.Building สรุปให้
- การจำแนกประเภทตาม คุณสมบัติของไม้
- คุณสมบัติของไม้ที่ส่งผลต่อการใช้งานมีอะไรบ้าง ?
- การประเมินความแข็งแรงจาก คุณสมบัติของไม้
- การเลือกใช้จาก คุณสมบัติของไม้ สำหรับงานก่อสร้าง
การจำแนกประเภทตาม คุณสมบัติของไม้

คุณสมบัติของไม้ คือเกณฑ์หลักที่กรมป่าไม้ใช้ในการจำแนกประเภทไม้ในประเทศไทย โดยพิจารณาจากค่าความแข็งแรงในการดัดและความทนทานตามธรรมชาติ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลัก การทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละกลุ่มจะช่วยให้เลือกใช้วัสดุได้ตรงกับงานค่ะ
1. ไม้เนื้อแข็ง (Hardwood)

ไม้เนื้อแข็งมีลักษณะเนื้อเหนียว สีเข้ม และมีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6 ปี มีความหนาแน่นสูงประมาณ 1,000 กก./ลบ.ม เพราะเติบโตช้า ทำให้วงปีเรียงตัวชิดกัน ส่งผลให้มีความแข็งแรงกับรับน้ำหนักได้เยอะ คุณสมบัติของไม้ชนิดนี้ที่เห็นได้คือความทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ใช้กับงานภายนอกที่ต้องเจอแดดและฝนได้ดี
ตัวอย่างไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง ไม้มะค่าโมง ไม้มะเกลือ ไม้ประดู่ ไม้ตะเคียนทอง
2. ไม้เนื้อแข็งปานกลาง (Medium Hardwood)

ไม้กลุ่มนี้มีความแข็งแรงรองลงมาจากไม้เนื้อแข็ง แต่ยังคงทนทานกว่าไม้เนื้ออ่อน ค่าความหนาแน่นประมาณ 600-1,000 กก./ลบ.ม ลักษณะเนื้อไม้ทำให้ทำการเลื่อย ไสกบ หรือตกแต่งได้ง่ายกว่าไม้เนื้อแข็ง เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนที่ต้องการความละเอียด มีอายุการใช้งานราว 6 ปี
ตัวอย่างไม้เนื้อแข็งปานกลาง เช่น ไม้ยูง ไม้มะค่าแต้ ไม้พลวง ไม้นนทรี ไม้ตะแบก ไม้ตาเสือ
3. ไม้เนื้ออ่อน (Softwood)

ไม้เนื้ออ่อนเกิดจากต้นไม้ที่โตเร็ว ทำให้มีวงปีที่กว้าง ลายไม้ที่ได้จึงน้อยและไม่ละเอียด มีความทนทานน้อย มีความแข็งแรงเฉลี่ยต่ำ ค่าความหนาแน่นประมาณ 600 กก./ลบ.ม. และอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี ไม้เนื้ออ่อนจะมีลักษณะโครงสร้างของเนื้อไม้ที่ไม่มีรู (non-porous wood) เมื่อใช้มีดคมๆ เฉือนที่หน้าตัดไม้ให้เรียบ แล้วใช้เวนขยายส่องดู
ด้วยคุณสมบัติของไม้เนื้ออ่อนที่มีความทนทานที่จำกัด ทำให้ไม่เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดด ตากฝน มักนำไปใช้กับงานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ หรือส่วนโครงสร้างที่ไม่ได้รับน้ำหนักเยอะ
ตัวอย่างไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยาง ไม้กระท้อน ไม้ต้นมะพร้าว ไม้สน ไม้ฉำฉา ไม้สยาขาว ไม้ก้านเหลือง
คุณสมบัติของไม้ที่ส่งผลต่อการใช้งานมีอะไรบ้าง ?

ไม้มีคุณสมบัติทางกายภาพและทางกลที่หลากหลาย ส่งผลต่อการเลือกใช้ในงานต่าง ๆ การทำความเข้าใจในคุณสมบัติของไม้เหล่านี้ จะช่วยให้เลือกวัสดุได้ตรงกับความต้องการใช้งานมากขึ้นค่ะ
1. ความแข็งแรง (Strength)
ความแข็งแรงของไม้ขึ้นอยู่กับความหนาบางของผนังเซลล์ค้ำจุนเป็นหลัก ไม้ที่มีผนังเซลล์หนาจะมีความแข็งแรงสูง คุณสมบัตินี้บอกถึงความสามารถในการรับน้ำหนักและแรงกระทำต่าง ๆ ดังนี้
- ความแข็ง ความทนทานต่อการตัดและการขูดขีด
- ความเหนียว ความสามารถในการรับน้ำหนักโดยไม่ฉีกขาดง่าย
-
ความยืดหยุ่น ความสามารถในการกลับคืนรูปเดิมหลังรับแรงกด
2. โครงสร้างเนื้อไม้ (Anisotropic)
ไม้มีคุณสมบัติเชิงกลที่แตกต่างกันตามทิศทาง คือความแข็งในทางปลาย (ขนานกับแนวเสี้ยน) จะต่างกับความแข็งที่รัศมี (radial) หรือด้านสัมผัส (tangential) ที่มีผลต่อการใช้งานค่ะ
- เสี้ยนไม้ (grain) ทิศทางของเส้นใยไม้ที่ส่งผลต่อความแข็งแรง
-
ลวดลายธรรมชาติ เกิดจากการตัดไม้ในมุมต่าง ๆ กับแนวเสี้ยน
3. ความทนทานตามธรรมชาติ (Natural Durability)
คุณสมบัติของไม้สามารถบอกถึงอายุการใช้งานของไม้ในสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ได้แก่
- ไม้เนื้อแข็ง อย่างไม้มะค่ามีความทนทานต่อปลวก มอด ความชื้น เชื้อรา และยังผุพังได้ยาก
- ไม้แก่น มีสารต่อต้านการเข้าทำลายของแมลง และเชื้อรามากกว่าไม้กระพี้
-
ไม้เนื้ออ่อน มีความทนทานต่ำกว่า ควรใช้ในที่ร่มหรือผ่านการอัดน้ำยา
4. การหดและการขยายตัว (Shrinkage and Swelling)
การหดกับขยายตัวเป็นคุณสมบัติของไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อไม้สูญเสียหรือได้รับความชื้นเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เนื้อไม้ไม่คงที่และเกิดการบิดตัวได้เมื่อสภาพแวดล้อม เช่น ความชื้นหรืออุณหภูมิแปรปรวน
ด้วยเหตุนี้ ในการติดตั้งวัสดุที่ทำจากไม้ ช่างผู้ติดตั้งจำเป็นต้องเว้นระยะห่างหรือช่องว่างเล็กน้อยระหว่างแผ่นไม้ เพื่อเผื่อพื้นที่ให้ไม้สามารถขยายตัวได้โดยไม่เกิดความเสียหายกับโครงสร้างโดยรวม
5. ความชื้นในเนื้อไม้ (Moisture Content)
ความชื้นส่งผลต่อคุณสมบัติของไม้โดยตรง โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนัก ไม้ที่มีความชื้นสูงจะมีน้ำหนักมาก ขณะที่ไม้แห้งจะมีน้ำหนักเบาลง ปริมาณน้ำในเนื้อไม้ยังเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ได้แก่ ความแข็งแรงทนทาน และแนวโน้มการบิดตัวหรือแตกร้าว
6. น้ำหนักและความหนาแน่น (Weight and Density)
โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อไม้แท้มีความหนาแน่นสูงกว่าน้ำ แต่การที่ไม้แห้งสามารถลอยน้ำได้นั้นเกิดจากช่องว่างอากาศจำนวนมากในโครงสร้าง
ความหนาแน่นรวมของไม้แต่ละชนิดเป็นปัจจัยที่กำหนดคุณสมบัติของไม้ และส่งผลต่อการนำไปใช้งานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความสามารถในการรับน้ำหนัก ความยากง่ายในการทำงานกับเนื้อไม้ และความเหมาะสมกับงานโครงสร้าง
7. การนำความร้อน (Thermal Conductivity)
การนำความร้อน คือการถ่ายเทพลังงานความร้อนผ่านอนุภาคภายในเนื้อวัตถุ ไม้มีลักษณะเป็นฉนวนความร้อนตามธรรมชาติ การถ่ายเทความร้อนในเนื้อไม้จะเกิดขึ้นช้ากว่าวัสดุประเภทอื่น ดังนี้
- ไม้ถ่ายเทความร้อนได้น้อยกว่าวัสดุโลหะ
-
ไม้ที่มีเนื้อแน่นจะถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าไม้เนื้อพรุน
ด้วยคุณสมบัติของไม้ตามที่กล่าวมา ทำให้วัสดุชนิดนี้ถูกนำไปใช้งานก่อสร้าง เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในอาคารและลดการใช้พลังงานค่ะ
8. ลักษณะทางกายภาพ (Physical Characteristics)
ลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นได้สะท้อนถึงคุณสมบัติของไม้ในหลายอย่าง โดยสามารถสังเกตได้จากองค์ประกอบต่อไปนี้
- สีสัน ไม้แต่ละชนิดมีโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ไม้มะค่าที่มีเนื้อไม้สีเหลืองอ่อนและสีเหลืองอมชมพู
- ลวดลายไม้ ไม้เนื้อแข็งมีโทนสีหลากหลายตั้งแต่สีอ่อนจนถึงสีเข้ม และมีลายไม้เฉพาะตัว เช่น ลายคลื่น ลายตรง หรือลายขด ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเนื้อไม้
-
ผิวสัมผัส ความละเอียดของเนื้อไม้มีผลโดยตรงต่อการตกแต่งและการชักเงาให้ขึ้นเงา
9. การทำงานกับไม้ (Workability)
การทำงานกับไม้ (Workability) หมายถึงความสะดวกหรือความยากในการแปรรูปไม้ให้ได้รูปทรงตามต้องการ คุณสมบัติไม้แต่ละชนิดส่งผลต่อการทำงานแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่
- ประเภทของเนื้อไม้ ไม้เนื้ออ่อนมีเนื้อที่ค่อนข้างเหนียว ทำให้แปรรูปได้สะดวก ส่วนไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง จะต้องใช้แรงและเครื่องมือที่แข็งแรงกว่าในการเลื่อย ไส หรือตอกตะปู
-
ความละเอียดของเนื้อไม้ ลักษณะเนื้อไม้มีผลโดยตรงต่อการตกแต่งผิวในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งการขัดให้เรียบ และการลงน้ำยาเคลือบเงา
10. อายุการใช้งาน (Service Life)
อายุการใช้งานของพื้นไม้แต่ละชนิดจะผันแปรไปตามคุณสมบัติและความทนทานตามธรรมชาติของไม้ ตัวอย่างระยะเวลาใช้งานโดยประมาณ เช่น
- ไม้เนื้อแข็ง มีอายุใช้งานได้นานถึง 6 ปี
- ไม้มะค่า มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 10-15 ปี
- พื้นไม้ประดู่ ใช้งานได้ยาวนาน 15 ปีขึ้นไป
-
พื้นไม้รัง มีระยะเวลาใช้งาน 10 ปีขึ้นไป
การประเมินความแข็งแรงจาก คุณสมบัติของไม้

การทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละชนิด ช่วยให้เราเลือกใช้วัสดุได้ตรงตามลักษณะงาน การประเมินความแข็งแรงเบื้องต้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
วิธีประเมินความแข็งแรงเบื้องต้น
- การสังเกตน้ำหนัก ไม้ที่มีน้ำหนักมากมักมีความหนาแน่นสูง ส่งผลให้มีความแข็งแรงทนทาน เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคง
- การดูลักษณะวงปี วงปีที่เรียงตัวชิดและสม่ำเสมอ บอกถึงการเติบโตอย่างช้า ๆ ของต้นไม้ ทำให้เนื้อมีความหนาแน่นและแข็งแรงกว่าไม้ที่มีวงปีกว้าง
-
การตรวจสอบความแข็ง ความแข็งคือความทนทานต่อการขีดข่วนและแรงกด ทดสอบเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เล็บหรือวัตถุปลายแหลมกดลงบนเนื้อไม้ ไม้ที่แข็งจะเกิดรอยได้ยากกว่า
ค่าความหนาแน่นมาตรฐานของไม้ประเภทต่าง ๆ
ค่าความหนาแน่น คือตัวชี้วัดความแข็งแรงของไม้ที่เป็นทางการ โดยมีหน่วยวัดเป็นกิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (กก./ลบ.ม.)
| ประเภทไม้ | ค่าความหนาแน่นโดยประมาณ (กก./ลบ.ม.) |
|---|---|
| ไม้เนื้อแข็ง | สูงกว่า 1,000 (เช่น ไม้เต็ง) |
| ไม้เนื้อแข็งปานกลาง | 600 - 1,000 (เช่น ไม้รัง, ไม้ตะเคียนทอง) |
| ไม้เนื้ออ่อน | ต่ำกว่า 600 (เช่น ไม้มะพร้าว) |
ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อความแข็งแรง
นอกจากชนิดของไม้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อคุณสมบัติของไม้โดยรวม ได้แก่
- อายุของไม้ ไม้ที่มีอายุมากจะมีเนื้อไม้ที่แข็งแกร่งกว่าไม้อายุน้อย
- ความชื้น ไม้ที่แห้งสนิทจะมีความแข็งแรงมากกว่าไม้ที่ยังมีความชื้นสูง
- ตำแหน่งของเนื้อไม้ แก่นไม้ที่อยู่ใจกลางลำต้นจะแข็งแรงกว่ากระพี้ไม้ที่อยู่รอบนอก
-
กระบวนการแปรรูป การอัดน้ำยาและการอบแห้งที่ถูกวิธี ช่วยเพิ่มความทนทานให้เนื้อไม้ได้
การเลือกใช้จาก คุณสมบัติของไม้ สำหรับงานก่อสร้าง

การเลือกไม้สำหรับงานก่อสร้างต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของงาน ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้าง งานตกแต่ง หรือการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันค่ะ
การเลือกไม้สำหรับงานโครงสร้าง
สำหรับงานส่วนที่ต้องรับน้ำหนักโดยตรง เช่น เสา คาน พื้น และโครงหลังคา ควรเลือกใช้ไม้เนื้อแข็งที่มีความทนทานสูง ได้แก่ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้มะค่า และไม้ประดู่
- เสาและคาน ใช้ไม้เนื้อแข็งเพื่อการรับน้ำหนักได้เต็มที่
- พื้นไม้ ไม้แดงกับไม้ประดู่มีความแข็งแรงสูงสำหรับงานพื้น แต่ไม้ประดู่มีอัตราการหดตัวน้อยกว่า ส่วนพื้นไม้มะค่ามีอายุใช้งานยาวนานและทนทาน
-
โครงหลังคา ไม้เต็งเป็นไม้ที่ถูกเลือกใช้สำหรับโครงหลังคา เพราะทนทานต่อสภาพอากาศและแมลง | ขั้นตอนการเลือกซื้อหลังคาบ้าน
อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างบ้าน [ใต้ดิน-บนดิน] มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ?
การเลือกไม้สำหรับงานตกแต่ง
งานตกแต่งเป็นส่วนที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากเท่าโครงสร้าง แต่เน้นความเรียบร้อยและรายละเอียด
- วงกบ ประตู และหน้าต่าง ไม้ประดู่กับไม้แดงเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงทนทานสำหรับงานส่วนนี้
- ผนังและฝ้าเพดาน ไม้ยางแดงใช้ทำเป็นไม้ฝาหรือฝ้าเพดานได้ ส่วนไม้สนสามารถใช้ตกแต่งภายใน
-
เฟอร์นิเจอร์ ไม้เนื้อแข็งปานกลางใช้ทำเครื่องเรือนที่ต้องการความละเอียด ส่วนไม้สักเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์และงานก่อสร้างบ้าน
การเลือกไม้ตามสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมเป็นอีกปัจจัยในการเลือกใช้ไม้ เพราะคุณสมบัติของไม้แต่ละประเภทตอบสนองต่อความชื้นและสภาพอากาศต่างกัน ได้แก่
- งานภายนอกอาคาร ที่ต้องเผชิญแดดและฝน ต้องการไม้เนื้อแข็งที่มีความทนทานสูง เช่น ไม้แดงที่ทนต่อปลวกกับสภาพอากาศ
- งานภายในอาคาร สามารถใช้ไม้เนื้ออ่อนสำหรับงานตกแต่งหรือโครงสร้างส่วนที่ไม่ได้รับน้ำหนัก เช่น ไม้ตะแบกที่ทนทานเมื่ออยู่ในร่ม
-
พื้นที่ชื้นหรือมีแมลง ไม้มะค่าทนต่อปลวก ความชื้น และเชื้อราได้ดี ส่วนไม้ยางพารามีการพัฒนากระบวนการอัดน้ำยากับอบแห้ง เพื่อเพิ่มความทนทาน
เปรียบเทียบการใช้งานตามชนิดของไม้
| ชนิดไม้ | ความแข็งแรง (กก./ลบ.ม.) | อายุใช้งานโดยประมาณ | การใช้งานที่แนะนำ | ลักษณะเด่น |
|---|---|---|---|---|
| ไม้เต็ง | 1,040 | 6 ปีขึ้นไป | โครงสร้าง เสา คาน ตง | แข็ง เหนียว ทนทาน |
| ไม้แดง | 960 | 6 ปีขึ้นไป | พื้น วงกบ ประตูหน้าต่าง | ทนปลวก ต้านไฟ ขัดเงาได้ |
| ไม้รัง | 800 | 10 ปีขึ้นไป | เสา พื้น คาน | ทนทานต่อสภาพอากาศ |
| ไม้ประดู่ | 800 | 15 ปีขึ้นไป | พื้น วงกบ ด้ามเครื่องมือ | หดตัวน้อย ทำเงาได้ |
| ไม้มะค่า | 750-800 | 10-15 ปี | พื้น บันได โครงสร้าง | ทนปลวก ความชื้น เชื้อรา |
| ไม้ตะเคียนทอง | 750 | 6 ปีขึ้นไป | โครงสร้างอาคาร | ทนปลวก ตกแต่งและชักเงาได้ |
| ไม้ยางแดง | 650-720 | 2 ปี | ไม้ฝา ฝ้าเพดาน | ตกแต่งได้ ราคาไม่สูง |
| ไม้ต้นมะพร้าว | 400 | ต่ำกว่า 2 ปี | โครงสร้างรอง | น้ำหนักเบา หาได้ง่าย |
สรุป
คุณสมบัติของไม้ มีผลต่อการเลือกใช้งานก่อสร้างกับการตกแต่ง เพราะไม้แต่ละชนิดมีความแข็งแรง ความทนทาน กับลักษณะภายนอกที่ต่างกัน ได้แก่ ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อแข็งปานกลาง และไม้เนื้ออ่อน
การนำไปใช้งานจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของไม้ โดยไม้แต่ละประเภทที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ไม้เนื้อแข็งใช้สำหรับงานโครงสร้างที่รับน้ำหนักและงานภายนอกอาคาร ขณะที่ไม้เนื้ออ่อนใช้ในงานตกแต่งภายในที่ไม่ต้องรับแรงมากนัก
การเลือกไม้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรพิจารณาเรื่องการหดตัว การขยายตัว และความสวยของลวดลายประกอบกัน การทำความเข้าใจในคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยให้ผลงานมีคุณภาพ ความทนทาน ยืดอายุการใช้งาน และลดภาระการบำรุงรักษาในระยะยาวค่ะ


