แชร์

10 คุณสมบัติของไม้ ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน

อัพเดทล่าสุด: 3 พ.ย. 2025
148 ผู้เข้าชม

S.J.Building สรุปให้

  • คุณสมบัติของไม้ ด้านความแข็งแรงและความทนทาน จะแบ่งตามระดับความแข็งแรง ตั้งแต่ 600-1,000 กก./ลบ.ม. ส่งผลต่ออายุการใช้งาน 2-6 ปี
  • ไม้แบ่งได้ประเภท 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อแข็งปานกลาง และไม้เนื้ออ่อน ตามค่าความแข็งแรงในการดัดกับ มมททมทท ความทนทาน
  • คุณสมบัติของไม้เนื้อแข็งจะเกิดการบิดตัวเมื่อเจอความชื้นหรือความร้อน
  • ไม้เนื้อแข็งทนต่อแดด ฝน ปลวก และเชื้อราได้ดีกว่าไม้เนื้ออ่อน
  • ไม้เนื้อแข็งเหมาะสำหรับงานรับน้ำหนักงานโครงสร้าง เช่น เสา คาน พื้น
  • ไม้มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนดขนาดและคุณภาพของไม้แปรรูปเพื่อการใช้งาน


คุณสมบัติของไม้ มีผลโดยตรงต่อคุณภาพ ความทนทานของงานก่อสร้างและชิ้นงานต่าง ๆ เพราะไม้เป็นวัสดุก่อสร้างจากธรรมชาติที่มีน้ำหนักเบา ปรับเปลี่ยนรูปทรงได้สะดวก และมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์

บทความนี้ S.J.Building จะอธิบายคุณสมบัติสำคัญของไม้ที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกใช้ เพื่อให้สามารถเลือกชนิดของไม้ที่ตอบโจทย์การใช้งานและมีความแข็งแรงทนทานตามที่ต้องการค่ะ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

การจำแนกประเภทตาม คุณสมบัติของไม้

คุณสมบัติของไม้ คือเกณฑ์หลักที่กรมป่าไม้ใช้ในการจำแนกประเภทไม้ในประเทศไทย โดยพิจารณาจากค่าความแข็งแรงในการดัดและความทนทานตามธรรมชาติ สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลัก การทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละกลุ่มจะช่วยให้เลือกใช้วัสดุได้ตรงกับงานค่ะ

1. ไม้เนื้อแข็ง (Hardwood)

ไม้เนื้อแข็งมีลักษณะเนื้อเหนียว สีเข้ม และมีอายุการใช้งานยาวนานประมาณ 6 ปี มีความหนาแน่นสูงประมาณ 1,000 กก./ลบ.ม เพราะเติบโตช้า ทำให้วงปีเรียงตัวชิดกัน ส่งผลให้มีความแข็งแรงกับรับน้ำหนักได้เยอะ คุณสมบัติของไม้ชนิดนี้ที่เห็นได้คือความทนทานต่อสภาพอากาศ ทำให้ใช้กับงานภายนอกที่ต้องเจอแดดและฝนได้ดี

ตัวอย่างไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง ไม้มะค่าโมง ไม้มะเกลือ ไม้ประดู่ ไม้ตะเคียนทอง

2. ไม้เนื้อแข็งปานกลาง (Medium Hardwood)

ไม้กลุ่มนี้มีความแข็งแรงรองลงมาจากไม้เนื้อแข็ง แต่ยังคงทนทานกว่าไม้เนื้ออ่อน ค่าความหนาแน่นประมาณ 600-1,000 กก./ลบ.ม ลักษณะเนื้อไม้ทำให้ทำการเลื่อย ไสกบ หรือตกแต่งได้ง่ายกว่าไม้เนื้อแข็ง เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์และเครื่องเรือนที่ต้องการความละเอียด มีอายุการใช้งานราว 6 ปี

ตัวอย่างไม้เนื้อแข็งปานกลาง เช่น ไม้ยูง ไม้มะค่าแต้ ไม้พลวง ไม้นนทรี ไม้ตะแบก ไม้ตาเสือ

3. ไม้เนื้ออ่อน (Softwood)

ไม้เนื้ออ่อนเกิดจากต้นไม้ที่โตเร็ว ทำให้มีวงปีที่กว้าง ลายไม้ที่ได้จึงน้อยและไม่ละเอียด มีความทนทานน้อย มีความแข็งแรงเฉลี่ยต่ำ ค่าความหนาแน่นประมาณ 600 กก./ลบ.ม. และอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี ไม้เนื้ออ่อนจะมีลักษณะโครงสร้างของเนื้อไม้ที่ไม่มีรู (non-porous wood) เมื่อใช้มีดคมๆ เฉือนที่หน้าตัดไม้ให้เรียบ แล้วใช้เวนขยายส่องดู

ด้วยคุณสมบัติของไม้เนื้ออ่อนที่มีความทนทานที่จำกัด ทำให้ไม่เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอกที่ต้องตากแดด ตากฝน มักนำไปใช้กับงานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ หรือส่วนโครงสร้างที่ไม่ได้รับน้ำหนักเยอะ

ตัวอย่างไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ยาง ไม้กระท้อน ไม้ต้นมะพร้าว ไม้สน ไม้ฉำฉา ไม้สยาขาว ไม้ก้านเหลือง

 

คุณสมบัติของไม้ที่ส่งผลต่อการใช้งานมีอะไรบ้าง ?

ไม้มีคุณสมบัติทางกายภาพและทางกลที่หลากหลาย ส่งผลต่อการเลือกใช้ในงานต่าง ๆ การทำความเข้าใจในคุณสมบัติของไม้เหล่านี้ จะช่วยให้เลือกวัสดุได้ตรงกับความต้องการใช้งานมากขึ้นค่ะ

1. ความแข็งแรง (Strength)

ความแข็งแรงของไม้ขึ้นอยู่กับความหนาบางของผนังเซลล์ค้ำจุนเป็นหลัก ไม้ที่มีผนังเซลล์หนาจะมีความแข็งแรงสูง คุณสมบัตินี้บอกถึงความสามารถในการรับน้ำหนักและแรงกระทำต่าง ๆ ดังนี้

  • ความแข็ง ความทนทานต่อการตัดและการขูดขีด
  • ความเหนียว ความสามารถในการรับน้ำหนักโดยไม่ฉีกขาดง่าย
  • ความยืดหยุ่น ความสามารถในการกลับคืนรูปเดิมหลังรับแรงกด

2. โครงสร้างเนื้อไม้ (Anisotropic)

ไม้มีคุณสมบัติเชิงกลที่แตกต่างกันตามทิศทาง คือความแข็งในทางปลาย (ขนานกับแนวเสี้ยน) จะต่างกับความแข็งที่รัศมี (radial) หรือด้านสัมผัส (tangential) ที่มีผลต่อการใช้งานค่ะ

  • เสี้ยนไม้ (grain) ทิศทางของเส้นใยไม้ที่ส่งผลต่อความแข็งแรง
  • ลวดลายธรรมชาติ เกิดจากการตัดไม้ในมุมต่าง ๆ กับแนวเสี้ยน

3. ความทนทานตามธรรมชาติ (Natural Durability)

คุณสมบัติของไม้สามารถบอกถึงอายุการใช้งานของไม้ในสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ได้แก่

  • ไม้เนื้อแข็ง อย่างไม้มะค่ามีความทนทานต่อปลวก มอด ความชื้น เชื้อรา และยังผุพังได้ยาก
  • ไม้แก่น มีสารต่อต้านการเข้าทำลายของแมลง และเชื้อรามากกว่าไม้กระพี้
  • ไม้เนื้ออ่อน มีความทนทานต่ำกว่า ควรใช้ในที่ร่มหรือผ่านการอัดน้ำยา

4. การหดและการขยายตัว (Shrinkage and Swelling)

การหดกับขยายตัวเป็นคุณสมบัติของไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อไม้สูญเสียหรือได้รับความชื้นเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เนื้อไม้ไม่คงที่และเกิดการบิดตัวได้เมื่อสภาพแวดล้อม เช่น ความชื้นหรืออุณหภูมิแปรปรวน

ด้วยเหตุนี้ ในการติดตั้งวัสดุที่ทำจากไม้ ช่างผู้ติดตั้งจำเป็นต้องเว้นระยะห่างหรือช่องว่างเล็กน้อยระหว่างแผ่นไม้ เพื่อเผื่อพื้นที่ให้ไม้สามารถขยายตัวได้โดยไม่เกิดความเสียหายกับโครงสร้างโดยรวม

5. ความชื้นในเนื้อไม้ (Moisture Content)

ความชื้นส่งผลต่อคุณสมบัติของไม้โดยตรง โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนัก ไม้ที่มีความชื้นสูงจะมีน้ำหนักมาก ขณะที่ไม้แห้งจะมีน้ำหนักเบาลง ปริมาณน้ำในเนื้อไม้ยังเป็นตัวกำหนดคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ได้แก่ ความแข็งแรงทนทาน และแนวโน้มการบิดตัวหรือแตกร้าว

6. น้ำหนักและความหนาแน่น (Weight and Density)

โดยธรรมชาติแล้ว เนื้อไม้แท้มีความหนาแน่นสูงกว่าน้ำ แต่การที่ไม้แห้งสามารถลอยน้ำได้นั้นเกิดจากช่องว่างอากาศจำนวนมากในโครงสร้าง

ความหนาแน่นรวมของไม้แต่ละชนิดเป็นปัจจัยที่กำหนดคุณสมบัติของไม้ และส่งผลต่อการนำไปใช้งานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความสามารถในการรับน้ำหนัก ความยากง่ายในการทำงานกับเนื้อไม้ และความเหมาะสมกับงานโครงสร้าง

7. การนำความร้อน (Thermal Conductivity)

การนำความร้อน คือการถ่ายเทพลังงานความร้อนผ่านอนุภาคภายในเนื้อวัตถุ ไม้มีลักษณะเป็นฉนวนความร้อนตามธรรมชาติ การถ่ายเทความร้อนในเนื้อไม้จะเกิดขึ้นช้ากว่าวัสดุประเภทอื่น ดังนี้

  • ไม้ถ่ายเทความร้อนได้น้อยกว่าวัสดุโลหะ
  • ไม้ที่มีเนื้อแน่นจะถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าไม้เนื้อพรุน

ด้วยคุณสมบัติของไม้ตามที่กล่าวมา ทำให้วัสดุชนิดนี้ถูกนำไปใช้งานก่อสร้าง เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิภายในอาคารและลดการใช้พลังงานค่ะ

8. ลักษณะทางกายภาพ (Physical Characteristics)

ลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นได้สะท้อนถึงคุณสมบัติของไม้ในหลายอย่าง โดยสามารถสังเกตได้จากองค์ประกอบต่อไปนี้

  • สีสัน ไม้แต่ละชนิดมีโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ไม้มะค่าที่มีเนื้อไม้สีเหลืองอ่อนและสีเหลืองอมชมพู
  • ลวดลายไม้ ไม้เนื้อแข็งมีโทนสีหลากหลายตั้งแต่สีอ่อนจนถึงสีเข้ม และมีลายไม้เฉพาะตัว เช่น ลายคลื่น ลายตรง หรือลายขด ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับเนื้อไม้
  • ผิวสัมผัส ความละเอียดของเนื้อไม้มีผลโดยตรงต่อการตกแต่งและการชักเงาให้ขึ้นเงา

9. การทำงานกับไม้ (Workability)

การทำงานกับไม้ (Workability) หมายถึงความสะดวกหรือความยากในการแปรรูปไม้ให้ได้รูปทรงตามต้องการ คุณสมบัติไม้แต่ละชนิดส่งผลต่อการทำงานแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่

  • ประเภทของเนื้อไม้ ไม้เนื้ออ่อนมีเนื้อที่ค่อนข้างเหนียว ทำให้แปรรูปได้สะดวก ส่วนไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง จะต้องใช้แรงและเครื่องมือที่แข็งแรงกว่าในการเลื่อย ไส หรือตอกตะปู
  • ความละเอียดของเนื้อไม้ ลักษณะเนื้อไม้มีผลโดยตรงต่อการตกแต่งผิวในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งการขัดให้เรียบ และการลงน้ำยาเคลือบเงา

10. อายุการใช้งาน (Service Life)

อายุการใช้งานของพื้นไม้แต่ละชนิดจะผันแปรไปตามคุณสมบัติและความทนทานตามธรรมชาติของไม้ ตัวอย่างระยะเวลาใช้งานโดยประมาณ เช่น

  • ไม้เนื้อแข็ง มีอายุใช้งานได้นานถึง 6 ปี
  • ไม้มะค่า มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 10-15 ปี
  • พื้นไม้ประดู่ ใช้งานได้ยาวนาน 15 ปีขึ้นไป
  • พื้นไม้รัง มีระยะเวลาใช้งาน 10 ปีขึ้นไป

 

การประเมินความแข็งแรงจาก คุณสมบัติของไม้

การทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละชนิด ช่วยให้เราเลือกใช้วัสดุได้ตรงตามลักษณะงาน การประเมินความแข็งแรงเบื้องต้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

วิธีประเมินความแข็งแรงเบื้องต้น

  1. การสังเกตน้ำหนัก ไม้ที่มีน้ำหนักมากมักมีความหนาแน่นสูง ส่งผลให้มีความแข็งแรงทนทาน เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคง
  2. การดูลักษณะวงปี วงปีที่เรียงตัวชิดและสม่ำเสมอ บอกถึงการเติบโตอย่างช้า ๆ ของต้นไม้ ทำให้เนื้อมีความหนาแน่นและแข็งแรงกว่าไม้ที่มีวงปีกว้าง
  3. การตรวจสอบความแข็ง ความแข็งคือความทนทานต่อการขีดข่วนและแรงกด ทดสอบเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เล็บหรือวัตถุปลายแหลมกดลงบนเนื้อไม้ ไม้ที่แข็งจะเกิดรอยได้ยากกว่า

ค่าความหนาแน่นมาตรฐานของไม้ประเภทต่าง ๆ

ค่าความหนาแน่น คือตัวชี้วัดความแข็งแรงของไม้ที่เป็นทางการ โดยมีหน่วยวัดเป็นกิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (กก./ลบ.ม.)

ประเภทไม้ ค่าความหนาแน่นโดยประมาณ (กก./ลบ.ม.)
ไม้เนื้อแข็ง สูงกว่า 1,000 (เช่น ไม้เต็ง)
ไม้เนื้อแข็งปานกลาง 600 - 1,000 (เช่น ไม้รัง, ไม้ตะเคียนทอง)
ไม้เนื้ออ่อน ต่ำกว่า 600 (เช่น ไม้มะพร้าว)

ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อความแข็งแรง

นอกจากชนิดของไม้ ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อคุณสมบัติของไม้โดยรวม ได้แก่

  • อายุของไม้ ไม้ที่มีอายุมากจะมีเนื้อไม้ที่แข็งแกร่งกว่าไม้อายุน้อย
  • ความชื้น ไม้ที่แห้งสนิทจะมีความแข็งแรงมากกว่าไม้ที่ยังมีความชื้นสูง
  • ตำแหน่งของเนื้อไม้ แก่นไม้ที่อยู่ใจกลางลำต้นจะแข็งแรงกว่ากระพี้ไม้ที่อยู่รอบนอก
  • กระบวนการแปรรูป การอัดน้ำยาและการอบแห้งที่ถูกวิธี ช่วยเพิ่มความทนทานให้เนื้อไม้ได้

 

การเลือกใช้จาก คุณสมบัติของไม้ สำหรับงานก่อสร้าง

การเลือกไม้สำหรับงานก่อสร้างต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของงาน ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้าง งานตกแต่ง หรือการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันค่ะ

การเลือกไม้สำหรับงานโครงสร้าง

สำหรับงานส่วนที่ต้องรับน้ำหนักโดยตรง เช่น เสา คาน พื้น และโครงหลังคา ควรเลือกใช้ไม้เนื้อแข็งที่มีความทนทานสูง ได้แก่ ไม้แดง ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้มะค่า และไม้ประดู่

  • เสาและคาน ใช้ไม้เนื้อแข็งเพื่อการรับน้ำหนักได้เต็มที่
  • พื้นไม้ ไม้แดงกับไม้ประดู่มีความแข็งแรงสูงสำหรับงานพื้น แต่ไม้ประดู่มีอัตราการหดตัวน้อยกว่า ส่วนพื้นไม้มะค่ามีอายุใช้งานยาวนานและทนทาน
  • โครงหลังคา ไม้เต็งเป็นไม้ที่ถูกเลือกใช้สำหรับโครงหลังคา เพราะทนทานต่อสภาพอากาศและแมลง | ขั้นตอนการเลือกซื้อหลังคาบ้าน

อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างบ้าน [ใต้ดิน-บนดิน] มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ?

การเลือกไม้สำหรับงานตกแต่ง

งานตกแต่งเป็นส่วนที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากเท่าโครงสร้าง แต่เน้นความเรียบร้อยและรายละเอียด

  • วงกบ ประตู และหน้าต่าง ไม้ประดู่กับไม้แดงเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงทนทานสำหรับงานส่วนนี้
  • ผนังและฝ้าเพดาน ไม้ยางแดงใช้ทำเป็นไม้ฝาหรือฝ้าเพดานได้ ส่วนไม้สนสามารถใช้ตกแต่งภายใน
  • เฟอร์นิเจอร์ ไม้เนื้อแข็งปานกลางใช้ทำเครื่องเรือนที่ต้องการความละเอียด ส่วนไม้สักเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์และงานก่อสร้างบ้าน

การเลือกไม้ตามสภาพแวดล้อม

สภาพแวดล้อมเป็นอีกปัจจัยในการเลือกใช้ไม้ เพราะคุณสมบัติของไม้แต่ละประเภทตอบสนองต่อความชื้นและสภาพอากาศต่างกัน ได้แก่

  • งานภายนอกอาคาร ที่ต้องเผชิญแดดและฝน ต้องการไม้เนื้อแข็งที่มีความทนทานสูง เช่น ไม้แดงที่ทนต่อปลวกกับสภาพอากาศ
  • งานภายในอาคาร สามารถใช้ไม้เนื้ออ่อนสำหรับงานตกแต่งหรือโครงสร้างส่วนที่ไม่ได้รับน้ำหนัก เช่น ไม้ตะแบกที่ทนทานเมื่ออยู่ในร่ม
  • พื้นที่ชื้นหรือมีแมลง ไม้มะค่าทนต่อปลวก ความชื้น และเชื้อราได้ดี ส่วนไม้ยางพารามีการพัฒนากระบวนการอัดน้ำยากับอบแห้ง เพื่อเพิ่มความทนทาน

เปรียบเทียบการใช้งานตามชนิดของไม้

ชนิดไม้ ความแข็งแรง (กก./ลบ.ม.) อายุใช้งานโดยประมาณ การใช้งานที่แนะนำ ลักษณะเด่น
ไม้เต็ง 1,040 6 ปีขึ้นไป โครงสร้าง เสา คาน ตง แข็ง เหนียว ทนทาน
ไม้แดง 960 6 ปีขึ้นไป พื้น วงกบ ประตูหน้าต่าง ทนปลวก ต้านไฟ ขัดเงาได้
ไม้รัง 800 10 ปีขึ้นไป เสา พื้น คาน ทนทานต่อสภาพอากาศ
ไม้ประดู่ 800 15 ปีขึ้นไป พื้น วงกบ ด้ามเครื่องมือ หดตัวน้อย ทำเงาได้
ไม้มะค่า 750-800 10-15 ปี พื้น บันได โครงสร้าง ทนปลวก ความชื้น เชื้อรา
ไม้ตะเคียนทอง 750 6 ปีขึ้นไป โครงสร้างอาคาร ทนปลวก ตกแต่งและชักเงาได้
ไม้ยางแดง 650-720 2 ปี ไม้ฝา ฝ้าเพดาน ตกแต่งได้ ราคาไม่สูง
ไม้ต้นมะพร้าว 400 ต่ำกว่า 2 ปี โครงสร้างรอง น้ำหนักเบา หาได้ง่าย

 

สรุป

คุณสมบัติของไม้ มีผลต่อการเลือกใช้งานก่อสร้างกับการตกแต่ง เพราะไม้แต่ละชนิดมีความแข็งแรง ความทนทาน กับลักษณะภายนอกที่ต่างกัน ได้แก่ ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อแข็งปานกลาง และไม้เนื้ออ่อน

การนำไปใช้งานจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของไม้ โดยไม้แต่ละประเภทที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ไม้เนื้อแข็งใช้สำหรับงานโครงสร้างที่รับน้ำหนักและงานภายนอกอาคาร ขณะที่ไม้เนื้ออ่อนใช้ในงานตกแต่งภายในที่ไม่ต้องรับแรงมากนัก

การเลือกไม้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรพิจารณาเรื่องการหดตัว การขยายตัว และความสวยของลวดลายประกอบกัน การทำความเข้าใจในคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยให้ผลงานมีคุณภาพ ความทนทาน ยืดอายุการใช้งาน และลดภาระการบำรุงรักษาในระยะยาวค่ะ


บทความที่เกี่ยวข้อง
แบบหล่อคอนกรีต คืออะไร และทำงานอย่างไรในโครงการก่อสร้าง
วิธีเลือกและติดตั้ง แบบหล่อคอนกรีต ให้ถูกต้อง เพื่องานก่อสร้างที่มีคุณภาพ ข้อแตกต่างของแต่ละชนิด การนำไปใช้กับฐานราก เสา คาน และส่วนต่าง ๆ ของอาคาร
30 ต.ค. 2025
สร้างบ้านใหม่ต้องรู้ พิธียกเสาเอกเสาโท และสิ่งของที่ต้องใช้
พิธียกเสาเอกเสาโท ตั้งแต่ความหมาย สิ่งของจำเป็น ขั้นตอนพิธีการ และวิธีปฏิบัติหลังการยกเสาเอกเสาโท เพื่อความเป็นมงคลกับบ้านหลังใหม่ตามความเชื่อคนไทย
30 ต.ค. 2025
ขั้นตอนการ ถมที่ดิน ให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาดินทรุด
การถมที่ แบบถูกวิธี ช่วยยืดอายุการใช้งานของสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย โรงงาน หรืองาน ถมที่ดิน เพื่อทำการเกษตร
30 ต.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy