7 ขั้นตอนการ ถมที่ดิน ให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาดินทรุด
S.J.Building สรุปให้
- การถมที่ ขั้นตอนแรกที่สำคัญของการก่อสร้าง ต้องทำให้ถูกวิธีเพื่อป้องกันปัญหาดินทรุดและโครงสร้างเสียหาย
- ก่อนถมที่ดิน ควรศึกษากฎหมายกับข้อบังคับ เช่น พ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย
- ควรเลือกประเภทดินให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ดินถมทั่วไป ดินลูกรัง ดินทราย ดินร่วน แต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียต่างกัน
- การถมที่ดินที่มีพื้นที่เกิน 2,000 ตร.ม. และสูงเกิน 2 เมตรจากที่ดินข้างเคียง ต้องมีวิศวกรควบคุมงาน
- ควรถมดินให้สูงกว่าถนน 50-80 ซม. หรือมากกว่านั้นในพื้นที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม
- 
ขั้นตอนการถมที่ต้องทำอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ การขออนุญาต การเลือกประเภทดิน การถมและบดอัดเป็นชั้น จนถึงการตรวจสอบความหนาแน่น 
ถมที่ ขั้นตอนการเตรียมพื้นที่เพื่อสร้างรากฐานให้แก่สิ่งปลูกสร้าง การถมดินที่ทำอย่างไม่ถูกต้องจะส่งผลกระทบตามมา เช่น ปัญหาดินทรุด บ้านทรุด หรือน้ำท่วมขัง ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูง
บทความนี้ S.J.Building ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการถมที่ดินที่ถูกวิธี ตั้งแต่ประเภทของดินที่ใช้ ข้อกำหนดทางกฎหมาย จนถึงเทคนิคช่วยป้องกันดินทรุดที่เจ้าของที่ดินสามารถนำไปปรับใช้ได้ค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- S.J.Building สรุปให้
- ประเภทของดินสำหรับงาน ถมที่ แต่ละชนิด
- ขั้นตอนการ ถมที่ดิน ที่เจ้าของที่ต้องรู้มีอะไรบ้าง ?
- ข้อกำหนดเรื่องความสูงในการถมที่
- ข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับการถมที่ดิน
- ถมที่เพื่อใช้งานแต่ละแบบ ต้องเตรียมอะไรบ้าง ?
 
ประเภทของดินสำหรับงาน ถมที่ แต่ละชนิด

การถมที่ มีผลโดยตรงต่อความแข็งแรงของพื้นที่ในระยะยาว การเลือกใช้ดินที่มีคุณสมบัติตรงตามลักษณะงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะดินแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน การทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้งานถมที่ดินออกมามีคุณภาพตามที่ต้องการค่ะ
- ดินถมทั่วไป (ดินเหนียว) ดินชนิดนี้มีเนื้อละเอียดและมีความเหนียว เมื่อแห้งจะแข็งตัว ราคาเข้าถึงง่าย อุ้มน้ำได้ บดอัดได้แน่นพอสมควร แต่ต้องใช้เวลาให้ดินยุบตัวและระบายน้ำได้ช้า เหมาะกับการถมที่ดินเพื่อสร้างบ้านพักอาศัย เพราะโครงสร้างหลักจะรับน้ำหนักบนเสาเข็ม
- ดินลูกรัง (ดินซีแลค) มีลักษณะแห้ง ผสมด้วยแร่กับหิน ทำให้บดอัดได้แน่นมาก การทรุดตัวมีน้อย ช่วยให้ก่อสร้างได้เร็ว แต่มีราคาสูงกว่าและไม่เอื้อต่อการปลูกพืช ดินลูกรังตอบโจทย์การสร้างโรงงาน โกดัง หรือถนนที่ต้องการการรับน้ำหนักสูง
- ดินทราย มีส่วนประกอบของทรายเยอะ เนื้อดินจะหยาบ ระบายน้ำได้รวดเร็ว มีราคาไม่สูง แต่ไม่อุ้มน้ำและอาจถูกกัดเซาะได้ง่าย จำเป็นต้องบดอัดให้แน่นเพื่อป้องกันการทรุดตัว มักใช้สำหรับรองพื้นก่อนเทปูนในโครงการก่อสร้าง
- 
ดินร่วน (หน้าดิน) เป็นดินเนื้อละเอียดนุ่ม มีสีคล้ำ อุดมด้วยอินทรียวัตถุ มีคุณสมบัติระบายน้ำได้ดีพร้อมให้ธาตุอาหารแก่พืช แต่มีราคาสูงและไม่สามารถรับน้ำหนักโครงสร้างได้ มักถมเป็นชั้นบนสุดสำหรับพื้นที่ทำสวนหรือบริเวณที่ต้องการปลูกต้นไม้ 
คำแนะนำการเลือกดินสำหรับงานก่อสร้าง
- สำหรับการสร้างบ้านพักอาศัยทั่วไป ควรใช้ดินถมทั่วไปหรือดินเหนียว
- สำหรับโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนักมาก ควรใช้ดินลูกรัง
- สำหรับพื้นที่น้ำท่วมบ่อย ควรใช้ดินลูกรังหรือดินทรายเพื่อการระบายน้ำที่ดี
- 
พื้นที่ที่ต้องการปลูกต้นไม้ ควรใช้ดินร่วนเป็นชั้นบนสุด 
ขั้นตอนการ ถมที่ดิน ที่เจ้าของที่ต้องรู้มีอะไรบ้าง ?

การถมที่ดินอย่างถูกวิธีเป็นกระบวนการที่ต้องใส่ใจในรายละเอียด เพื่อให้ได้พื้นที่แข็งแรง พร้อมใช้งาน และช่วยป้องกันปัญหาในอนาคต โดยมีขั้นตอนดังนี้
- สำรวจและวางแผนพื้นที่ เริ่มต้นด้วยการสำรวจสภาพพื้นที่เดิม ความลาดเอียง แนวเขตที่ดิน สังเกตพืชพรรณเพื่อประเมินความชื้นของดิน จากนั้นวัดระดับความสูงเทียบกับถนนกับพื้นที่ข้างเคียง เพื่อกำหนดระดับการถมที่และวางแผนทิศทางการระบายน้ำ
- ขออนุญาตตามกฎหมาย ตรวจเช็คข้อบังคับกับหน่วยงานท้องถิ่น ถ้าเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ต้องยื่นเอกสารขออนุญาตให้เรียบร้อยก่อนเริ่มงาน โดยแนบแผนผังแสดงแนวเขตและวิธีการถมดินประกอบการพิจารณา
- เตรียมพื้นที่ก่อนเริ่มงาน กำจัดขยะและวัชพืชออกจากพื้นที่เพื่อให้บดอัดดินได้แน่น สามารถพิจารณาฉีดน้ำยากันปลวกและวางท่อระบายน้ำใต้ดินตามความจำเป็นของพื้นที่
- เลือกประเภทดินและจัดการขนส่ง เลือกประเภทดินให้ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน คำนวณปริมาณที่ต้องใช้ ทำสัญญากับผู้รับเหมาให้ชัดเจนเรื่องคุณภาพ ราคา และระยะเวลา ในขั้นตอนการขนส่งดินสำหรับถมที่ควรมีคนคอยตรวจสอบจำนวนเที่ยวรถเพื่อความถูกต้อง
- ดำเนินการถมและบดอัด เริ่มถมดินเป็นชั้นหนาประมาณ 20-30 ซม. รดน้ำให้ชุ่มแล้วใช้เครื่องมือบดอัดให้แน่น ทำซ้ำกระบวนการนี้ทีละชั้นจนได้ระดับความสูงตามที่วางแผนไว้
- ปรับระดับและตกแต่ง ใช้เครื่องจักรปรับหน้าดินให้เรียบและมีความลาดเอียงเล็กน้อย เพื่อช่วยระบายน้ำ สามารถสร้างขอบกันดินหรือรั้วเพื่อป้องกันดินพังทลาย
- 
ตรวจสอบหลังดำเนินการ หลังถมเสร็จ ควรทดสอบความแน่นของดินและทิ้งระยะให้ดินทรุดตัวสักพักก่อนเริ่มก่อสร้าง โดยเฉพาะดินเหนียวควรเว้นช่วงเวลาไว้ประมาณ 45-60 วัน พร้อมสังเกตการระบายน้ำหลังฝนตกกับการทรุดตัวของพื้นที่ 
ข้อกำหนดเรื่องความสูงในการถมที่

การกำหนดความสูงในการถมที่ดินนับเป็นขั้นตอนแรก ๆ ของการเตรียมพื้นที่สร้างบ้าน การวางแผนที่ดีจะช่วยป้องกันปัญหาต่าง ๆ ในระยะยาวได้ โดยมีปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาประกอบกัน ดังนี้
การกำหนดระดับความสูงสำหรับงานถมที่
การถมที่ดินให้ได้ระดับความสูงที่พอดีนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่แต่ละแห่ง โดยสามารถแบ่งตามลักษณะพื้นที่ ได้แก่
- พื้นที่ทั่วไป ควรถมดินให้สูงกว่าระดับถนนประมาณ 50-80 เซนติเมตร เพื่อช่วยป้องกันปัญหาน้ำขังเบื้องต้น
- พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม สำหรับบริเวณที่มีประวัติน้ำท่วม ควรถมดินให้สูงกว่า 1 เมตรขึ้นไป
- 
พื้นที่ดินทรุดตัว ควรประเมินและเผื่อความสูงเพิ่มอีก 10-15% เพื่อรองรับการยุบตัวของดินที่เกิดขึ้นได้ในระยะยาว 
ข้อควรพิจารณาในการถมที่เพื่อกำหนดความสูง
- ระดับน้ำใต้ดิน ระดับความสูงควรอยู่เหนือระดับน้ำใต้ดิน เพื่อช่วยป้องกันปัญหาน้ำซึมเข้าสู่ตัวบ้านในอนาคต
- ระดับถนน การถมให้สูงกว่าระดับถนนหน้าที่จะช่วยลดปัญหาน้ำท่วมขังจากถนน และลดการพัดพาของฝุ่นละออง
- พื้นที่ดินข้างเคียง ควรออกแบบระดับความสูงให้สอดคล้องกับที่ดินข้างเคียง เพื่อไม่ให้การระบายน้ำของเราสร้างผลกระทบ หรือทำให้น้ำไหลไปท่วมขังในพื้นที่ของเพื่อนบ้าน
- 
การยุบตัวของดิน ควรเผื่อระดับความสูงสำหรับการยุบตัวของดินไว้ประมาณ 10-15% สัดส่วนนี้จะแตกต่างกันตามลักษณะของดินในพื้นที่นั้น ๆ 
ข้อแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการถมที่
เพื่อให้การถมที่ดินได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการ มีข้อแนะนำบางส่วนที่ควรนำไปพิจารณา ดังนี้
- ระดับความสูงของดิน ควรปรับระดับให้พอดี การถมสูงไปจะสร้างแรงดันต่อรั้วและเกิดปัญหาน้ำไหลไปที่ดินแปลงอื่น ส่วนการถมต่ำไปก็เสี่ยงต่อน้ำท่วมขังกับะความชื้นใต้ตัวบ้าน
- 
การเลือกใช้วัสดุ การลงวัสดุต่างชนิดเป็นชั้น ๆ สามารถเพิ่มประโยชน์ใช้สอย ตัวอย่างคือการใช้ดินลูกรังสำหรับชั้นล่าง และใช้ดินเหนียวปิดทับชั้นบน 
ข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับการถมที่ดิน

การถมที่ดินในประเทศไทยมีข้อบังคับตามพระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เจ้าของที่ดินควรศึกษาข้อกำหนดเหล่านี้เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่ตามมาค่ะ
พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543
- การขออนุญาต การถมดินที่มีความสูงของเนินดินเกินกว่าระดับที่ดินข้างเคียง และมีพื้นที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นก่อน
- ระยะห่างจากแนวเขตที่ดิน ส่วนฐานของเนินดินจะต้องห่างจากแนวเขตที่ดินของบุคคลอื่นหรือที่สาธารณะเป็นระยะไม่น้อยกว่าความสูงของเนินดิน
- 
ผู้ควบคุมงาน การถมดินที่มีพื้นที่เกิน 2,000 ตารางเมตร และสูงเกิน 2 เมตรจากระดับที่ดินข้างเคียง ต้องมีผู้ควบคุมงานที่เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม สาขาวิศวกรรมโยธา 
เอกสารและการเตรียมตัว
- แผนผังบริเวณ เพื่อแสดงพื้นที่ที่จะทำการถมดิน
- แผนผังแสดงเขตที่ดินและที่ดินบริเวณข้างเคียง
- รายละเอียดการถมดิน ระบุวิธีการถม ระยะเวลา และรายละเอียดอื่น ๆ
- 
แผนการจัดระบบการระบายน้ำเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียง 
บทลงโทษและข้อแนะนำ
- ผู้ที่ถมดินโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ปฏิบัติตามแบบที่ได้รับอนุญาต อาจถูกปรับ
- เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งให้ระงับการถมดิน
- 
ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลอื่นจากการถมดิน 
ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของที่ดิน
- ตรวจสอบข้อกำหนดท้องถิ่น แต่ละพื้นที่อาจมีข้อกำหนดเพิ่มเติมต่างกัน
- ปรึกษาวิศวกร ควรปรึกษาวิศวกรก่อนเริ่มโครงการขนาดใหญ่
- 
จัดทำบันทึกข้อตกลง ถ้าพื้นที่ติดกับที่ดินเอกชนอื่น ควรทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น 
ถมที่เพื่อใช้งานแต่ละแบบ ต้องเตรียมอะไรบ้าง ?

การถมที่ดินเพื่อใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มีรายละเอียดด้านการเตรียมการและวัสดุที่แตกต่างกัน เพื่อให้ที่ดินนั้นรองรับการใช้งานได้ตามเป้าหมาย ได้แก่
- เพื่อสร้างบ้านพักอาศัย การถมที่เพื่อสร้างบ้านมักใช้ดินเหนียวหรือดินถมทั่วไป และอาจผสมดินลูกรังชั้นบนเพื่อเพิ่มความแข็งแรง ดินต้องถูกบดอัดให้แน่นถึงระดับ 85% ตามเกณฑ์ พร้อมกับวางระบบท่อระบายน้ำรอบตัวบ้านและติดตั้งระบบป้องกันปลวกใต้ดิน
- เพื่อสร้างโรงงานหรืออาคารขนาดใหญ่ โครงสร้างขนาดใหญ่ต้องการฐานที่แข็งแรงกว่า ต้องเลือกใช้วัสดุอย่างดินลูกรังหรือหินคลุก และต้องบดอัดให้แน่นเกิน 95% ของค่าสูงสุด มีการทดสอบการรับน้ำหนักของดิน แล้วออกแบบระบบระบายน้ำขนาดใหญ่เพื่อรองรับปริมาณน้ำฝน การถมจะทำเป็นชั้นพร้อมทดสอบความแน่นไปทีละชั้น
- เพื่อทำการเกษตร หัวใจหลักคือคุณภาพของดิน โดยจะเลือกใช้ดินร่วนหรือหน้าดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีการตรวจสอบคุณภาพดิน ค่า pH และธาตุอาหาร เพื่อเตรียมสารปรับปรุงดิน เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ กับวางแผนระบบชลประทานให้เข้ากับพืชที่จะปลูก
- เพื่อทำถนนหรือลานจอดรถ ส่วนนี้เน้นความแข็งแรงเพื่อรับน้ำหนัก วัสดุที่ใช้คือดินลูกรัง หินคลุก หรือทรายหยาบผสมดินเหนียว บดอัดให้แน่นมากกว่า 95% และมีการทดสอบค่า CBR (California Bearing Ratio) เพื่อวัดความแข็งแรงของดิน ก่อนทำผิวถนนต้องเตรียมชั้นรองพื้นด้วยหินคลุกและทำร่องระบายน้ำควบคู่กันไป
- 
ในพื้นที่ลุ่มหรือมีน้ำท่วมขัง การเตรียมพื้นที่จะซับซ้อนขึ้น โดยอาจต้องวางท่อระบายน้ำใต้ดินก่อนเริ่มถม ชั้นล่างสุดใช้วัสดุที่ระบายน้ำได้ดีอย่างดินทรายหรือหินคลุก และควรถมให้สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ประมาณ 50 เซนติเมตร การบดอัดดินทีละชั้นจะช่วยป้องกันการทรุดตัวในอนาคต 
สรุป
การถมที่ ขั้นตอนแรกเริ่มที่มีผลต่อความแข็งแรงและอายุการใช้งานของสิ่งปลูกสร้าง การเตรียมพื้นที่อย่างถูกวิธีจะช่วยป้องกันปัญหาดินทรุดตัว น้ำท่วมขัง และความเสียหายต่อโครงสร้างในระยะยาว
เจ้าของที่ดินควรใส่ใจในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเลือกชนิดดิน การขออนุญาตตามกฎหมาย การเตรียมพื้นที่ การถมและบดอัดดินให้แน่น รวมถึงการตรวจสอบหลังการทำงานเสร็จสิ้น การเลือกวิธีการถมที่ให้เข้ากับวัตถุประสงค์การใช้งานพื้นที่จะช่วยให้งานสำเร็จตามเป้าหมาย
การลงทุนกับการถมดินที่มีคุณภาพตามหลักวิศวกรรมตั้งแต่ต้น ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมภายหลัง โดยค่าใช้จ่ายส่วนนี้มักสูงกว่าการทำให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก การเข้าใจและปฏิบัติตามขั้นตอนการถมที่ดินที่ถูกต้องจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลดีในระยะยาวสำหรับเจ้าของบ้านกับผู้พัฒนาโครงการค่ะ



