7 ข้อแตกต่างระหว่าง งานช่างก่อสร้าง และ งานช่างโยธา ที่ควรรู้
S.J.Building สรุปให้
- งานช่างก่อสร้าง เน้นการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน และโครงสร้างทั่วไปเป็นหลัก
- งานช่างโยธา เน้นโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน สะพาน เขื่อน ระบบสาธารณูปโภค
- ช่างก่อสร้างใช้แรงงานเป็นหลัก ส่วนงานช่างโยธาต้องใช้เครื่องจักรหนักเป็นอุปกรณ์หลัก
- การศึกษาของช่างก่อสร้างอาจเริ่มจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ ส่วนช่างโยธามักเรียนจากสถาบันการศึกษาที่เป็นทางการ
- ช่างก่อสร้างทำงานในพื้นที่จำกัด ส่วนช่างโยธาทำงานในพื้นที่กว้างมากกว่า
- งานช่างโยธาเข้ามาก่อนงานช่างก่อสร้างในลำดับขั้นตอนการทำงานของโครงการ
-
ความก้าวหน้าทางอาชีพของช่างก่อสร้างมุ่งสู่การเป็นผู้รับเหมา ส่วนช่างโยธามุ่งสู่วิศวกรโยธา
งานช่างก่อสร้าง กับ งานช่างโยธา มีความแตกต่างกันในรายละเอียด ทั้งลักษณะงาน ขอบเขตความรับผิดชอบ และทักษะที่ต้องการ บทความนี้ S.J.Building จะช่วยอธิบายความแตกต่างของงานทั้งสองประเภท เพื่อให้คุณได้เข้าใจที่ถูกต้องและมองเห็นภาพรวมได้กระจ่างขึ้นค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- S.J.Building สรุปให้
- งานช่างก่อสร้าง ทําอะไรบ้าง ?
- ประเภทของ อาชีพช่างก่อสร้าง ที่พบในโครงการ
- ทักษะและความสามารถที่จำเป็นสำหรับ งานช่างก่อสร้าง
- ความแตกต่างระหว่าง งานช่างก่อสร้าง กับ งานช่างโยธา
- เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพช่างก่อสร้าง
งานช่างก่อสร้าง ทําอะไรบ้าง ?
งานช่างก่อสร้าง (Construction) คือ งานที่ทำให้เกิดการประกอบ ติดตั้งให้เกิดเป็นอาคาร โครงสร้าง ระบบสาธารณูปโภค หรือส่วนประกอบก่อสร้างต่าง ๆ โดยงานช่างก่อสร้างมีขอบเขตงานที่หลากหลาย เช่น
- งานไม้ การตัดไม้ ประกอบโครงสร้าง ทำแบบหล่อ
- งานคอนกรีต การผสม เทคอนกรีต และการบ่ม
- งานปูนก่อฉาบ การก่ออิฐ ฉาบปูน ตกแต่งผิว
- งานเหล็ก การตัด ดัด เชื่อมเหล็กโครงสร้าง
- งานทาสี การเตรียมพื้นผิวและทาสีอาคาร
-
งานระบบ การติดตั้งระบบไฟฟ้า ประปา และสุขาภิบาลในอาคาร
ช่างก่อสร้างทำงานในพื้นที่การก่อสร้างของอาคารบ้านเรือน หรือโครงสร้างขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยใช้เครื่องมือช่างพื้นฐานกับเครื่องจักรขนาดเล็กถึงกลางเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะเน้นที่ความปราณีต ความแข็งแรง และความสวยของงานค่ะ
ประเภทของ อาชีพช่างก่อสร้าง ที่พบในโครงการ
งานช่างก่อสร้างในโครงการหนึ่ง ประกอบด้วยช่างหลายแขนงที่ทำงานตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนต่าง ๆ ของอาคาร ได้แก่
- ช่างไม้ รับผิดชอบงานโครงสร้างไม้ การทำแบบหล่อ และงานตกแต่งไม้
- ช่างปูน ทำงานเกี่ยวกับการก่ออิฐ ฉาบปูน เทพื้น และงานคอนกรีตต่าง ๆ
- ช่างเหล็ก รับผิดชอบงานโครงสร้างเหล็ก ผูกเหล็ก และเชื่อมเหล็ก
- ช่างไฟฟ้า ติดตั้งระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร
- ช่างประปา ติดตั้งระบบท่อน้ำ สุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ประปา
- ช่างสี ทำงานเกี่ยวกับการทาสีและตกแต่งผิว
-
ช่างอลูมิเนียม/กระจก ติดตั้งงานอลูมิเนียมและกระจกอาคาร
นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้าง ได้แก่
- ผู้รับเหมา ผู้บริหารจัดการทีมงานช่างก่อสร้าง
- Supplier ผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรที่ใช้ในโครงการ
-
ผู้ชำนาญงานด้านต่าง ๆ เช่น วิศวกร สถาปนิก ที่ร่วมงานตลอดการก่อสร้าง
ทักษะและความสามารถที่จำเป็นสำหรับ งานช่างก่อสร้าง
งานช่างก่อสร้างต้องอาศัยทักษะความสามารถที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ได้แก่
- ทักษะการใช้เครื่องมือช่าง ต้องรู้จักและสามารถใช้เครื่องมือช่างพื้นฐานกับเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องได้ถูกต้อง
- ความรู้ด้านวัสดุก่อสร้าง เข้าใจคุณสมบัติของวัสดุก่อสร้างประเภทต่าง ๆ และการนำไปใช้งาน
- ความแข็งแรงทางร่างกาย งานช่างก่อสร้างต้องใช้แรงกายมาก จึงต้องมีร่างกายที่แข็งแรง อดทน
- ความละเอียดรอบคอบ ต้องมีความละเอียดในการทำงาน เพื่อให้งานออกมามีคุณภาพและปลอดภัย
- ความสามารถในการอ่านแบบ เข้าใจแบบก่อสร้างพื้นฐาน สามารถปฏิบัติงานตามแบบได้
- ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน
-
ความปลอดภัยในการทำงาน ตระหนักถึงความปลอดภัยในการทำงาน รู้จักวิธีป้องกันอันตรายต่าง ๆ
ความแตกต่างระหว่าง งานช่างก่อสร้าง กับ งานช่างโยธา
1. ลักษณะงานและขอบเขตงาน
งานช่างก่อสร้าง เน้นที่การประกอบโครงสร้างพื้นฐานจนก่อขึ้นมาเป็นตัวอาคาร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการใช้งานของมนุษย์ และยังต้องคงความปลอดภัย มักเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างบ้านพักอาศัย อาคาร หรือโครงสร้างขนาดเล็กถึงกลาง
งานช่างโยธา ได้แก่ งานด้านถนน ทางหลวง สะพาน งานวางท่อประปา งานอาคารใต้ดิน งานเขื่อน งานก่อสร้างท่าเทียบเรือ และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
2. เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
งานช่างก่อสร้าง ใช้เครื่องมือช่างพื้นฐานและเครื่องจักรขนาดเล็กถึงกลาง เน้นใช้แรงงานคนเป็นหลัก
งานช่างโยธา ต้องใช้เครื่องจักรหนัก ๆ เป็นอุปกรณ์หลักในการทำงาน เพราะมีปริมาณของงานมาก ขอบเขตหรือพื้นที่ในการปฏิบัติงานยังค่อนข้างกว้าง ลึกหรือทั้งกว้างและลึก
3. ความรู้และการศึกษา
งานช่างก่อสร้าง บางส่วนสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์การทำงาน การฝึกงานกับช่างผู้ชำนาญ หรือการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาช่างก่อสร้าง
งานช่างโยธา ต้องการการศึกษาที่เป็นทางการมากกว่า เช่น ระดับ ปวส. สาขาช่างโยธา หรือปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโยธา เพราะต้องมีความรู้ด้านการคำนวณ การออกแบบ และการวางแผนที่ซับซ้อนกว่า
4. พื้นที่การทำงาน
งานช่างก่อสร้าง ทำงานในพื้นที่จำกัด เช่น บริเวณการก่อสร้างอาคารหรือบ้านเรือน
งานช่างโยธา ทำงานในพื้นที่กว้างกว่า เช่น การสร้างถนน สะพาน เขื่อน มีขอบเขตการทำงานที่กว้างและใหญ่กว่ามาก
5. ลำดับการทำงานในโครงการ
ช่างสำรวจและช่างโยธา จะเข้าทำงานก่อนเริ่มโครงการ โดยช่างโยธาจะเข้าทำงานหลังช่างสำรวจ
ช่างก่อสร้าง จะเข้ามาทำงานในขั้นตอนถัดไป หลังจากงานโยธาได้วางฐานรากและโครงสร้างพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว
6. การควบคุมและมาตรฐาน
งานช่างก่อสร้าง มีมาตรฐานการก่อสร้างที่ต้องปฏิบัติตาม แต่อาจมีความยืดหยุ่นในบางกรณี โดยเฉพาะงานก่อสร้างขนาดเล็ก
งานช่างโยธา มีมาตรฐานทางวิศวกรรมที่เข้มงวดกว่า มีการควบคุมคุณภาพและการทดสอบที่ซับซ้อน เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของสาธารณะในวงกว้าง
7. ผลกระทบต่อสังคม
งานช่างก่อสร้าง มีผลกระทบในระดับย่อย เช่น อาคาร บ้านเรือน ที่ส่งผลต่อผู้ใช้งานโดยตรง
งานช่างโยธา มีผลกระทบในระดับมหภาค ส่งผลต่อสาธารณชนในวงกว้าง เช่น ถนน สะพาน ระบบประปา เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ประชาชนทั้งสังคมใช้ร่วมกัน
เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพช่างก่อสร้าง
งานช่างก่อสร้างสามารถพัฒนาตัวเองและเติบโตในหน้าที่การงานได้หลายรูปแบบ ดังนี้
1. จากช่างทั่วไปสู่ช่างชำนาญการเฉพาะทาง
งานช่างก่อสร้างที่เริ่มต้นจากการเป็นช่างทั่วไปหรือผู้ช่วยช่าง สามารถพัฒนาตัวเองจนเป็นช่างชำนาญการในสาขาเฉพาะทาง เช่น ช่างไม้ ช่างปูน ช่างไฟฟ้า ช่างประปา จะได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้นตามทักษะและประสบการณ์
2. หัวหน้าช่าง (Foreman)
งานช่างก่อสร้างถ้ามีประสบการณ์มากขึ้น สามารถก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าช่าง ทำหน้าที่ควบคุมดูแลทีมช่างในการทำงาน ต้องมีทักษะการบริหารจัดการคน และการวางแผนงานที่ดี
3. ผู้ควบคุมงาน (Supervisor)
หัวหน้าช่างที่มีประสบการณ์สูง สามารถพัฒนาเป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ดูแลภาพรวมของงานก่อสร้างทั้งหมด ประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหน้างาน
4. ผู้รับเหมาช่วง (Sub-contractor)
ช่างที่มีความชำนาญสูงและมีทีมงานของตัวเอง สามารถรับงานก่อสร้างบางส่วนจากผู้รับเหมาหลัก เช่น รับเหมางานปูกระเบื้อง งานไฟฟ้า งานประปา เป็นต้น
5. ผู้รับเหมาก่อสร้าง (Contractor)
การเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเอง รับงานโดยตรงจากเจ้าของโครงการ ต้องมีความรู้ด้านการบริหารธุรกิจ การประมาณราคา และการบริหารโครงการ
6. ศึกษาต่อเพื่อเป็นวิศวกร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง
ช่างก่อสร้างที่มีพื้นฐานการศึกษาที่ดี สามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เช่น ปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมก่อสร้าง หรือการบริหารงานก่อสร้าง เพื่อพัฒนาตัวเองสู่การเป็นวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง มีปัจจัยสำคัญดังนี้
- การพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง ติดตามเทคโนโลยีและเทคนิคการก่อสร้างใหม่ ๆ
- การสร้างเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับช่าง ผู้รับเหมา และผู้เกี่ยวข้องในวงการก่อสร้าง
- ความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ ส่งมอบงานที่มีคุณภาพ ตรงเวลา สร้างความน่าเชื่อถือ
- ความรู้ด้านธุรกิจ เรียนรู้การบริหารการเงิน การตลาด และการบริหารจัดการโครงการ
-
ใบรับรองและใบอนุญาต พัฒนาตนเองเพื่อขอใบรับรองหรือใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับงานช่างก่อสร้าง
สรุป
งานช่างก่อสร้าง และงานช่างโยธา มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ทั้งลักษณะงาน เครื่องมือที่ใช้ พื้นที่การทำงาน ความรู้การศึกษาที่จำเป็น รวมถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ตามตารางเปรียบเทียบดังต่อไปนี้ค่ะ
หัวข้อ | งานช่างก่อสร้าง | งานช่างโยธา |
---|---|---|
ลักษณะงาน | การก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน โครงสร้างทั่วไป | ถนน สะพาน เขื่อน ระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ |
เครื่องมือ | เครื่องมือช่างพื้นฐาน เครื่องจักรขนาดเล็ก-กลาง | เครื่องจักรหนัก อุปกรณ์ขนาดใหญ่ |
พื้นที่ทำงาน | พื้นที่จำกัด เฉพาะบริเวณ | พื้นที่กว้าง ขอบเขตใหญ่ |
การศึกษา | อาจเรียนรู้จากประสบการณ์ ปวช./ปวส. ช่างก่อสร้าง | ปวส.ช่างโยธา หรือปริญญาตรีวิศวกรรมโยธา |
มาตรฐาน | มาตรฐานการก่อสร้างทั่วไป | มาตรฐานทางวิศวกรรมที่เข้มงวด |
ลำดับงาน | ทำงานหลังงานโยธา | ทำงานก่อนงานก่อสร้าง |
ผลกระทบ | ระดับย่อย (อาคาร บ้านเรือน) | ระดับมหภาค (โครงสร้างพื้นฐานสังคม) |
การค้นหาเส้นทางอาชีพที่ใช่ในสายงานช่างก่อสร้างหรือช่างโยธา ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจความถนัด ความสนใจ เป้าหมายของตัวเอง ทั้งสองสายงานล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพที่ดี ถ้ามีความมุ่งมั่น พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และทำงานด้วยความซื่อสัตย์รับผิดชอบค่ะ